
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่าเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนสถานการณ์จะยุติลงในเวลา 14.50 น.นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพดำเนินมาตรการปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ พร้อมดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งอำนวยความสะดวกด้านการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เดินทางออกจากจุดเสี่ยงทันทีตามเส้นทางอพยพที่ประกาศ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจลุกลามได้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานเพิ่มเติมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ผู้ถูกยิงบริเวณขา และผู้ที่ถูกกระสุนเฉี่ยวเสื้อเกราะจนเกิดอาการแน่นหน้าอก ทั้งสองนายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว และอาการอยู่ในภาวะปลอดภัย กองทัพยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินทิศทางสถานการณ์และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในแนวชายแดน
อ่านต่อ >44

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมด่วนร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา 7 จังหวัดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามสถานการณ์การปะทะและการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยมี น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง และผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยร่วมประชุมจังหวัดที่เข้าร่วมประกอบด้วย ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาน.ส.ไตรศุลีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 แห่ง ใช้เงินทดรองราชการ และงบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลประชาชนในศูนย์พักพิงให้สะดวกสบายที่สุด “ต้องรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน” พร้อมสั่งให้เร่งดำเนินแผนการอพยพให้รัดกุม ปลอดภัย และสื่อสารให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์อย่างต่อเนื่อง นายกฯ ยังได้สั่งการเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดชายแดนต้อง เตรียมเลือดให้เพียงพอ ไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน เพื่อรองรับการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ รวมถึงยา–เวชภัณฑ์ที่จำเป็น และให้จัดทีมแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่อพยพอย่างใกล้ชิดรัฐบาลได้อนุมัติ งบดูแลประชาชนจังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้ผู้ว่าฯ ใช้จ่ายทันที และหากไม่เพียงพอ นายกรัฐมนตรีระบุว่าสามารถขยายวงเงินเพิ่มเติมได้โดยไม่ล่าช้า นอกจากนี้ยังสั่งให้ผู้ว่าฯ ดูแลอาสาสมัคร อส. และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าพื้นที่ ดูแลทรัพย์สิน และสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาวะวิกฤตผู้ว่าราชการทั้ง 7 จังหวัดรายงานตรงกันว่า ขณะนี้ได้อพยพประชาชนแล้วร้อยละ 80–90 พร้อมติดตั้งศูนย์ช่วยเหลือหลายจุดเพื่อรองรับผู้ได้รับผลกระทบ โดยได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
อ่านต่อ >37

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
แม้เดือนธันวาคมจะเป็นช่วงฤดูหนาวที่โอกาสการก่อตัวของพายุลดลงอย่างมาก แต่ข้อมูลสถิติกลับสะท้อนว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อนได้อยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้จากการตรวจสอบสถิติพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยในรอบ 74 ปี ตั้งแต่ปี 2494–2567 พบว่า เดือนธันวาคมมีพายุเคลื่อนเข้าประเทศไทยทั้งหมด 9 ลูก ส่วนใหญ่เป็น “ดีเปรสชัน” จำนวน 8 ลูก และ “พายุโซนร้อน” 1 ลูก ถือเป็นจำนวนที่ไม่มากแต่ก็ชี้ให้เห็นว่าโอกาสเกิดพายุในเดือนนี้ “ไม่ได้เป็นศูนย์” อย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยพายุลูกล่าสุดที่เคยเคลื่อนเข้าไทยในเดือนธันวาคมเกิดขึ้นเมื่อปี 2549 หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันยังไม่มีพายุเข้าประเทศในเดือนดังกล่าวอีกเลย พื้นที่ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากพายุในเดือนธันวาคมจำกัดอยู่เฉพาะ “ภาคใต้” เท่านั้น ไม่เคยมีพายุเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบนในเดือนนี้ โดยเส้นทางพายุส่วนใหญ่เริ่มก่อตัวในทะเลจีนใต้ตอนล่าง แล้วเคลื่อนผ่านอ่าวไทยขึ้นฝั่งบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ขณะที่เส้นทางรองมักมีต้นกำเนิดจากมหาสมุทรแปซิฟิก เคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ เข้าสู่ทะเลจีนใต้ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่อ่าวไทยและขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ตอนกลาง ซึ่งจังหวัดที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านบ่อยที่สุดคือ สงขลา และพัทลุงภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เดือนธันวาคมแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่ภาคใต้ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงจากพายุหมุนเขตร้อน ขณะที่ประเทศไทยตอนบนสามารถวางใจได้ เนื่องจากสถิติไม่พบพายุเคลื่อนผ่านในเดือนนี้เลยตลอดกว่าเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา
อ่านต่อ >32

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ไทม์ไลน์เหตุปะทะภูผาเหล็ก ไทย–กัมพูชาเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่ ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการของกองกำลังไทยที่กำลังดูแลภารกิจทหารช่าง โดยมีการยืนยันลำดับเหตุการณ์เป็นไทม์ไลน์ดังนี้ ไทม์ไลน์เหตุการณ์ก่อนเวลา 14.15 น. – ภารกิจ รปภ. เส้นทางยุทธวิธีหน่วยพัน.ร.13 (ฉก.1) ของกองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยให้ทหารช่างที่อยู่ระหว่างปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธีจากฐานปฏิบัติการภูผาเหล็กไปยังจุดตรวจเพียงฟ้า ขณะเดียวกันพบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาเข้ามาใกล้แนวลวดหนามในพื้นที่ทับซ้อน14.15 น. – กัมพูชาเปิดฉากยิงทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงใส่กำลังพลไทย บริเวณพิกัด VA 5417 8739 ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยของไทยต้องยิงตอบโต้ทันที เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุปะทะ14.16 น. – การปะทะรุนแรงขึ้นหลังการเปิดฉากยิงไม่นาน สถานการณ์ทวีความรุนแรงฝั่งกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธหนักประเภท ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ยิงเข้ามากองทัพภาคที่ 2 สั่งเตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบหน่วยไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง (ROE) เพื่อควบคุมพื้นที่14.50 น. – เสียงปืนสงบการยิงปะทะยุติลงหลังดำเนินต่อเนื่องราว 35 นาที หน่วยไทยยังคงตรึงกำลังอย่างเข้มงวด เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เสถียรและมีโอกาสกลับมาตึงเครียดได้อีก14.53 น. – ส่งกลับสายแพทย์เจ้าหน้าที่แพทย์สนามเร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากจุดปะทะ เพื่อนำส่งกองบังคับการและโรงพยาบาลเพื่อดูแลอาการโดยด่วน ผลกระทบและความเสียหายกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ามีกำลังพลไทยบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ 1. ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงบริเวณขา 2. พลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกกระสุนยิงใส่เสื้อเกราะ ทำให้ฟกช้ำและแน่นหน้าอกทั้งสองนายเข้ารับการรักษาแล้ว และอยู่ในภาวะปลอดภัยปัจจุบันไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้ และเสริมกำลังเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำในเขตชายแดน
อ่านต่อ >131

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่าเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนสถานการณ์จะยุติลงในเวลา 14.50 น.นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพดำเนินมาตรการปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ พร้อมดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งอำนวยความสะดวกด้านการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เดินทางออกจากจุดเสี่ยงทันทีตามเส้นทางอพยพที่ประกาศ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจลุกลามได้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานเพิ่มเติมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ผู้ถูกยิงบริเวณขา และผู้ที่ถูกกระสุนเฉี่ยวเสื้อเกราะจนเกิดอาการแน่นหน้าอก ทั้งสองนายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว และอาการอยู่ในภาวะปลอดภัย กองทัพยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินทิศทางสถานการณ์และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในแนวชายแดน
อ่านต่อ >44

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมด่วนร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา 7 จังหวัดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามสถานการณ์การปะทะและการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยมี น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง และผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยร่วมประชุมจังหวัดที่เข้าร่วมประกอบด้วย ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาน.ส.ไตรศุลีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 แห่ง ใช้เงินทดรองราชการ และงบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลประชาชนในศูนย์พักพิงให้สะดวกสบายที่สุด “ต้องรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน” พร้อมสั่งให้เร่งดำเนินแผนการอพยพให้รัดกุม ปลอดภัย และสื่อสารให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์อย่างต่อเนื่อง นายกฯ ยังได้สั่งการเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดชายแดนต้อง เตรียมเลือดให้เพียงพอ ไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน เพื่อรองรับการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ รวมถึงยา–เวชภัณฑ์ที่จำเป็น และให้จัดทีมแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่อพยพอย่างใกล้ชิดรัฐบาลได้อนุมัติ งบดูแลประชาชนจังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้ผู้ว่าฯ ใช้จ่ายทันที และหากไม่เพียงพอ นายกรัฐมนตรีระบุว่าสามารถขยายวงเงินเพิ่มเติมได้โดยไม่ล่าช้า นอกจากนี้ยังสั่งให้ผู้ว่าฯ ดูแลอาสาสมัคร อส. และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าพื้นที่ ดูแลทรัพย์สิน และสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาวะวิกฤตผู้ว่าราชการทั้ง 7 จังหวัดรายงานตรงกันว่า ขณะนี้ได้อพยพประชาชนแล้วร้อยละ 80–90 พร้อมติดตั้งศูนย์ช่วยเหลือหลายจุดเพื่อรองรับผู้ได้รับผลกระทบ โดยได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
อ่านต่อ >37

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
แม้เดือนธันวาคมจะเป็นช่วงฤดูหนาวที่โอกาสการก่อตัวของพายุลดลงอย่างมาก แต่ข้อมูลสถิติกลับสะท้อนว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อนได้อยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้จากการตรวจสอบสถิติพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยในรอบ 74 ปี ตั้งแต่ปี 2494–2567 พบว่า เดือนธันวาคมมีพายุเคลื่อนเข้าประเทศไทยทั้งหมด 9 ลูก ส่วนใหญ่เป็น “ดีเปรสชัน” จำนวน 8 ลูก และ “พายุโซนร้อน” 1 ลูก ถือเป็นจำนวนที่ไม่มากแต่ก็ชี้ให้เห็นว่าโอกาสเกิดพายุในเดือนนี้ “ไม่ได้เป็นศูนย์” อย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยพายุลูกล่าสุดที่เคยเคลื่อนเข้าไทยในเดือนธันวาคมเกิดขึ้นเมื่อปี 2549 หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันยังไม่มีพายุเข้าประเทศในเดือนดังกล่าวอีกเลย พื้นที่ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากพายุในเดือนธันวาคมจำกัดอยู่เฉพาะ “ภาคใต้” เท่านั้น ไม่เคยมีพายุเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบนในเดือนนี้ โดยเส้นทางพายุส่วนใหญ่เริ่มก่อตัวในทะเลจีนใต้ตอนล่าง แล้วเคลื่อนผ่านอ่าวไทยขึ้นฝั่งบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ขณะที่เส้นทางรองมักมีต้นกำเนิดจากมหาสมุทรแปซิฟิก เคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ เข้าสู่ทะเลจีนใต้ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่อ่าวไทยและขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ตอนกลาง ซึ่งจังหวัดที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านบ่อยที่สุดคือ สงขลา และพัทลุงภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เดือนธันวาคมแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่ภาคใต้ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงจากพายุหมุนเขตร้อน ขณะที่ประเทศไทยตอนบนสามารถวางใจได้ เนื่องจากสถิติไม่พบพายุเคลื่อนผ่านในเดือนนี้เลยตลอดกว่าเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา
อ่านต่อ >32

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ไทม์ไลน์เหตุปะทะภูผาเหล็ก ไทย–กัมพูชาเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่ ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการของกองกำลังไทยที่กำลังดูแลภารกิจทหารช่าง โดยมีการยืนยันลำดับเหตุการณ์เป็นไทม์ไลน์ดังนี้ ไทม์ไลน์เหตุการณ์ก่อนเวลา 14.15 น. – ภารกิจ รปภ. เส้นทางยุทธวิธีหน่วยพัน.ร.13 (ฉก.1) ของกองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยให้ทหารช่างที่อยู่ระหว่างปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธีจากฐานปฏิบัติการภูผาเหล็กไปยังจุดตรวจเพียงฟ้า ขณะเดียวกันพบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาเข้ามาใกล้แนวลวดหนามในพื้นที่ทับซ้อน14.15 น. – กัมพูชาเปิดฉากยิงทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงใส่กำลังพลไทย บริเวณพิกัด VA 5417 8739 ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยของไทยต้องยิงตอบโต้ทันที เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุปะทะ14.16 น. – การปะทะรุนแรงขึ้นหลังการเปิดฉากยิงไม่นาน สถานการณ์ทวีความรุนแรงฝั่งกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธหนักประเภท ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ยิงเข้ามากองทัพภาคที่ 2 สั่งเตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบหน่วยไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง (ROE) เพื่อควบคุมพื้นที่14.50 น. – เสียงปืนสงบการยิงปะทะยุติลงหลังดำเนินต่อเนื่องราว 35 นาที หน่วยไทยยังคงตรึงกำลังอย่างเข้มงวด เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เสถียรและมีโอกาสกลับมาตึงเครียดได้อีก14.53 น. – ส่งกลับสายแพทย์เจ้าหน้าที่แพทย์สนามเร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากจุดปะทะ เพื่อนำส่งกองบังคับการและโรงพยาบาลเพื่อดูแลอาการโดยด่วน ผลกระทบและความเสียหายกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ามีกำลังพลไทยบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ 1. ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงบริเวณขา 2. พลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกกระสุนยิงใส่เสื้อเกราะ ทำให้ฟกช้ำและแน่นหน้าอกทั้งสองนายเข้ารับการรักษาแล้ว และอยู่ในภาวะปลอดภัยปัจจุบันไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้ และเสริมกำลังเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำในเขตชายแดน
อ่านต่อ >131

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่าเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนสถานการณ์จะยุติลงในเวลา 14.50 น.นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพดำเนินมาตรการปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ พร้อมดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งอำนวยความสะดวกด้านการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เดินทางออกจากจุดเสี่ยงทันทีตามเส้นทางอพยพที่ประกาศ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจลุกลามได้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานเพิ่มเติมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ผู้ถูกยิงบริเวณขา และผู้ที่ถูกกระสุนเฉี่ยวเสื้อเกราะจนเกิดอาการแน่นหน้าอก ทั้งสองนายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว และอาการอยู่ในภาวะปลอดภัย กองทัพยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินทิศทางสถานการณ์และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในแนวชายแดน
อ่านต่อ >44