
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
ธนาคารออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุนโครงการ “คนละครึ่ง" กระตุ้นใช้จ่าย "นายวีระชัย อมรถกลสุเวช" รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ตามที่รัฐบาลชุดใหม่กำลังพิจารณานำกลับมาใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออมสินพร้อมนำระบบและแอปพลิเคชัน “MyMo” เข้าร่วมเชื่อมต่อกับระบบการรับจ่ายเงินของโครงการได้ ซึ่งธนาคารมีร้านค้าในระบบหลายหมื่นราย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน กระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ธนาคารเข้าถึงข้อมูลประวัติการเดินบัญชี (transaction) ของผู้ประกอบการนายวีระชัย กล่าวต่อว่า การแชร์ข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการเติมเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมนายวีระชัย กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะยาวธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนโดยธนาคารประเมินว่าทั้งปี 2568 GDP จะขยายตัวได้ 2.0% และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้มากน้อยเพียงใด ธนาคารมีการประเมินว่า กนง.มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.0% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าธนาคารก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยยังคาดว่าผลประกอบการทั้งปีของออมสินยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งออมสินพยายามรักษาการทำกำไรให้อยู่ในระด
อ่านต่อ >56

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#ทันหุ้น กยศ.คาดยอดปล่อยกู้นักเรียนนักศึกษาปี 68 พุ่ง 4.1 หมื่นล้าน ขณะที่ เร่งปรับคำนวณหนี้ใหม่ ให้ครบ 4 ล้านรายภายในสิ้นเดือนนี้ พร้อมทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์เพื่อแบ่งเบาภาระและอำนวยความสะดวกผู้กู้ยืมอย่างต่อเนื่องน.ส.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า การดำเนินงานให้กู้ยืมเงินในปีการศึกษา 68 ขณะนี้ กยศ. ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 584,677 ราย เป็นวงเงินให้กู้ยืมกว่า 37,163 ล้านบาท และคาดว่าจนกว่าถึงสิ้นปีการศึกษา นี้ จะปล่อยกู้ได้ถึง 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยแต่ละปีที่ปล่อยกู้ได้ 3.5 หมื่นล้านบาท จำนวน 6.3 แสนราย และมีวงเงินรับชำระคืนได้ประมาณ 27,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8-9% โดยตลอดทั้งปีงบ 68 กยศ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากภาครัฐ ทั้งในส่วนของงบประมาณประจำ งบกลาง และงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.9 หมื่นล้านบาททั้งนี้ ในปี 68 ได้มุ่งเน้นการให้เงินกู้ยืมแก่นักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่ขาดแคลนและเป็นความต้องการหลักของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว โดย กยศ. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล 19,000 ล้านบาท ควบคู่กับเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับชำระคืนจากผู้กู้ยืมเงินรุ่นพี่ เพื่อให้การกระจายโอกาสทางการศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมโอกาสการมีงานทำให้แก่ประชาชนทั่วไปอายุ 18 - 60 ปี ด้วยหลักสูตรอาชีพหรือเพื่อยกระดับทักษะ สมรรถนะ หรือการเรียนรู้ ส่วนความคืบหน้าการคำนวณหนี้ใหม่ หลังการปรับปรุงกฎหมาย กยศ.นั้น ล่าสุด กยศ.สามารถปรับปรุงหนี้สำเร็จแล้ว 2 ล้านราย เหลืออีก 2 ล้านราย ซึ่งกองทุนฯ กำลังเร่งปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เสร็จครบทั้ง 4 ล้านรายภายในเดือนก.ย.นี้ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ ล่าสุดมีผู้กู้ยืมเงินสามารถเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งในรูปแบบกระดาษและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์กับ กยศ. แล้วกว่า 720,783 ราย ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ยืมเงินทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว กยศ. จะปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที และผู้กู้ยืมเงินสามารถผ่อนชำระเงินคืน กยศ. เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยขยายเวลาผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี และในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยื
อ่านต่อ >16

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#คปภ. #ทันหุ้น คปภ. ร่วมหารือแบงก์ชาติ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ สกัดบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ กรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต และมีพฤติกรรมเข้าข่ายฉ้อฉล นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ.ได้ร่วมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ เพื่อไปปรับใช้กรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บูรณาการข้อมูลร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ยกระดับการกำกับดูแลภาคธุรกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพผ่านมาตรการทางกฎหมายทั้งนี้ ในปัจจุบัน สำนักงาน คปภ. ได้มีการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการทางอาญา ทางปกครองต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย โดยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบ CARES (Comprehensive Anti - Fraud & Risk Elimination System) ระบบ IRIS เพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ รายงานพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย รวมไปถึงการเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตกรณีตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยมีการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานการพบกันในวันนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่ต่างเป็นหน่วยงานกำกับธุรกิจภาคการเงิน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหลอกลวงประชาชน รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบ วิธีการดำเนินการต่าง ๆ อันเป็นการช่วยยกระดับมาตรการการกำกับ ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ในปัจจุบัน รูปแบบการกระทำความผิดทั้งธุรกรรมทางการเงินและประกันภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น มีความเสียหารวมนับพันล้านบาท ดังนั้น การดำเนินการในทางกฎหมาย จึงต้องมีความเข้มข้นและทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
อ่านต่อ >13

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#คลัง #หุ้นไทย #ทันหุ้น - คลัง ชี้มีกระสุนทางการเงินทำโครงการ Quick Win ของรัฐบาล ราว 1.5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ เสนอหากจะทำโครงการคนละครึ่งให้มี Impact วงเงินมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์มองหุ้นไทยไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ระยะสั้นมีลุ้น 1,330 จุด รับเซ็นทิเมนต์เชิงบวก มาตรการรัฐ เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโฟลว์เข้า แนะเก็งกำไรกลุ่มโดเมสติกต่อ ชู “CPALL-CPAXT-BJC-OSP-KTC-MTC-ERW-CENTEL”แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีกระสุนทางการเงินที่จะทำโครงการ Quick Win ของรัฐบาล ราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ใน ปีงบประมาณ 2568 ที่ยังเหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท,และงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกบรรจุไว้ในปีงบประมาณ 2569 จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงหากมีความจำเป็น สามารถใช้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยมีวงเงินงบกลางดังกล่าวราว 9 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในบางส่วนได้@ชงคนละครึ่งเกิน 5 หมื่นลบ.โดยแหล่งข่าวเสนอว่า เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาทำงานที่สั้น ดังนั้น การทำโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเป็นโครงการที่เคยทำมาแล้วและประสบความสำเร็จในอดีต ซึ่งนอกจากโครงการคนละครึ่งแล้ว ก็อาจมีโครงการ Easy e-Receipt ที่กระตุ้นให้คนใช้จ่าย และสามารถนำรายจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้จำนวนหนึ่ง“ถ้าจะให้โครงการคนละครึ่งมี Impact ต่อเศรษฐกิจ ขนาดของโครงการจะต้องมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่การตัดสินใจการใช้วงเงินและรายละเอียดขึ้นอยู่กับรัฐบาล”นายพิริยพล คงวานิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทันหุ้น” ว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยระยะสั้นมีลักษณะ Sideway to Sideway Up มีโอกาสสิ้นเดือนนี้จะแตะ 1,330 จุด ได้ เนื่องจากมีปัจจัยเชิงบวก จากการจัดตั้งรัฐบาลรวดเร็วและการมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหารสร้างความเชื่อมั่น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ หนุนกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยว ซึ่งจะคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะหนุน GDP ได้ประมาณ 0.1% และหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มประมาณ 0.4%@จ่อเพิ่มเป้า SET สิ้นปี 1,330 จุดนอกจากนี้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ
อ่านต่อ >30

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
ธนาคารออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุนโครงการ “คนละครึ่ง" กระตุ้นใช้จ่าย "นายวีระชัย อมรถกลสุเวช" รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ตามที่รัฐบาลชุดใหม่กำลังพิจารณานำกลับมาใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออมสินพร้อมนำระบบและแอปพลิเคชัน “MyMo” เข้าร่วมเชื่อมต่อกับระบบการรับจ่ายเงินของโครงการได้ ซึ่งธนาคารมีร้านค้าในระบบหลายหมื่นราย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน กระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ธนาคารเข้าถึงข้อมูลประวัติการเดินบัญชี (transaction) ของผู้ประกอบการนายวีระชัย กล่าวต่อว่า การแชร์ข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการเติมเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมนายวีระชัย กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะยาวธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนโดยธนาคารประเมินว่าทั้งปี 2568 GDP จะขยายตัวได้ 2.0% และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้มากน้อยเพียงใด ธนาคารมีการประเมินว่า กนง.มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.0% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าธนาคารก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยยังคาดว่าผลประกอบการทั้งปีของออมสินยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งออมสินพยายามรักษาการทำกำไรให้อยู่ในระด
อ่านต่อ >56

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#ทันหุ้น กยศ.คาดยอดปล่อยกู้นักเรียนนักศึกษาปี 68 พุ่ง 4.1 หมื่นล้าน ขณะที่ เร่งปรับคำนวณหนี้ใหม่ ให้ครบ 4 ล้านรายภายในสิ้นเดือนนี้ พร้อมทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์เพื่อแบ่งเบาภาระและอำนวยความสะดวกผู้กู้ยืมอย่างต่อเนื่องน.ส.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า การดำเนินงานให้กู้ยืมเงินในปีการศึกษา 68 ขณะนี้ กยศ. ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 584,677 ราย เป็นวงเงินให้กู้ยืมกว่า 37,163 ล้านบาท และคาดว่าจนกว่าถึงสิ้นปีการศึกษา นี้ จะปล่อยกู้ได้ถึง 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยแต่ละปีที่ปล่อยกู้ได้ 3.5 หมื่นล้านบาท จำนวน 6.3 แสนราย และมีวงเงินรับชำระคืนได้ประมาณ 27,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8-9% โดยตลอดทั้งปีงบ 68 กยศ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากภาครัฐ ทั้งในส่วนของงบประมาณประจำ งบกลาง และงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.9 หมื่นล้านบาททั้งนี้ ในปี 68 ได้มุ่งเน้นการให้เงินกู้ยืมแก่นักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่ขาดแคลนและเป็นความต้องการหลักของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว โดย กยศ. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล 19,000 ล้านบาท ควบคู่กับเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับชำระคืนจากผู้กู้ยืมเงินรุ่นพี่ เพื่อให้การกระจายโอกาสทางการศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมโอกาสการมีงานทำให้แก่ประชาชนทั่วไปอายุ 18 - 60 ปี ด้วยหลักสูตรอาชีพหรือเพื่อยกระดับทักษะ สมรรถนะ หรือการเรียนรู้ ส่วนความคืบหน้าการคำนวณหนี้ใหม่ หลังการปรับปรุงกฎหมาย กยศ.นั้น ล่าสุด กยศ.สามารถปรับปรุงหนี้สำเร็จแล้ว 2 ล้านราย เหลืออีก 2 ล้านราย ซึ่งกองทุนฯ กำลังเร่งปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เสร็จครบทั้ง 4 ล้านรายภายในเดือนก.ย.นี้ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ ล่าสุดมีผู้กู้ยืมเงินสามารถเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งในรูปแบบกระดาษและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์กับ กยศ. แล้วกว่า 720,783 ราย ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ยืมเงินทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว กยศ. จะปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที และผู้กู้ยืมเงินสามารถผ่อนชำระเงินคืน กยศ. เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยขยายเวลาผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี และในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยื
อ่านต่อ >16

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#คปภ. #ทันหุ้น คปภ. ร่วมหารือแบงก์ชาติ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ สกัดบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ กรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต และมีพฤติกรรมเข้าข่ายฉ้อฉล นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ.ได้ร่วมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ เพื่อไปปรับใช้กรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บูรณาการข้อมูลร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ยกระดับการกำกับดูแลภาคธุรกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพผ่านมาตรการทางกฎหมายทั้งนี้ ในปัจจุบัน สำนักงาน คปภ. ได้มีการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการทางอาญา ทางปกครองต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย โดยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบ CARES (Comprehensive Anti - Fraud & Risk Elimination System) ระบบ IRIS เพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ รายงานพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย รวมไปถึงการเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตกรณีตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยมีการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานการพบกันในวันนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่ต่างเป็นหน่วยงานกำกับธุรกิจภาคการเงิน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหลอกลวงประชาชน รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบ วิธีการดำเนินการต่าง ๆ อันเป็นการช่วยยกระดับมาตรการการกำกับ ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ในปัจจุบัน รูปแบบการกระทำความผิดทั้งธุรกรรมทางการเงินและประกันภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น มีความเสียหารวมนับพันล้านบาท ดังนั้น การดำเนินการในทางกฎหมาย จึงต้องมีความเข้มข้นและทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
อ่านต่อ >13

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#คลัง #หุ้นไทย #ทันหุ้น - คลัง ชี้มีกระสุนทางการเงินทำโครงการ Quick Win ของรัฐบาล ราว 1.5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ เสนอหากจะทำโครงการคนละครึ่งให้มี Impact วงเงินมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์มองหุ้นไทยไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ระยะสั้นมีลุ้น 1,330 จุด รับเซ็นทิเมนต์เชิงบวก มาตรการรัฐ เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโฟลว์เข้า แนะเก็งกำไรกลุ่มโดเมสติกต่อ ชู “CPALL-CPAXT-BJC-OSP-KTC-MTC-ERW-CENTEL”แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีกระสุนทางการเงินที่จะทำโครงการ Quick Win ของรัฐบาล ราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ใน ปีงบประมาณ 2568 ที่ยังเหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท,และงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกบรรจุไว้ในปีงบประมาณ 2569 จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงหากมีความจำเป็น สามารถใช้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยมีวงเงินงบกลางดังกล่าวราว 9 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในบางส่วนได้@ชงคนละครึ่งเกิน 5 หมื่นลบ.โดยแหล่งข่าวเสนอว่า เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาทำงานที่สั้น ดังนั้น การทำโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเป็นโครงการที่เคยทำมาแล้วและประสบความสำเร็จในอดีต ซึ่งนอกจากโครงการคนละครึ่งแล้ว ก็อาจมีโครงการ Easy e-Receipt ที่กระตุ้นให้คนใช้จ่าย และสามารถนำรายจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้จำนวนหนึ่ง“ถ้าจะให้โครงการคนละครึ่งมี Impact ต่อเศรษฐกิจ ขนาดของโครงการจะต้องมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่การตัดสินใจการใช้วงเงินและรายละเอียดขึ้นอยู่กับรัฐบาล”นายพิริยพล คงวานิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทันหุ้น” ว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยระยะสั้นมีลักษณะ Sideway to Sideway Up มีโอกาสสิ้นเดือนนี้จะแตะ 1,330 จุด ได้ เนื่องจากมีปัจจัยเชิงบวก จากการจัดตั้งรัฐบาลรวดเร็วและการมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหารสร้างความเชื่อมั่น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ หนุนกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยว ซึ่งจะคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะหนุน GDP ได้ประมาณ 0.1% และหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มประมาณ 0.4%@จ่อเพิ่มเป้า SET สิ้นปี 1,330 จุดนอกจากนี้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ
อ่านต่อ >30

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
ธนาคารออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุนโครงการ “คนละครึ่ง" กระตุ้นใช้จ่าย "นายวีระชัย อมรถกลสุเวช" รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ตามที่รัฐบาลชุดใหม่กำลังพิจารณานำกลับมาใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออมสินพร้อมนำระบบและแอปพลิเคชัน “MyMo” เข้าร่วมเชื่อมต่อกับระบบการรับจ่ายเงินของโครงการได้ ซึ่งธนาคารมีร้านค้าในระบบหลายหมื่นราย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน กระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ธนาคารเข้าถึงข้อมูลประวัติการเดินบัญชี (transaction) ของผู้ประกอบการนายวีระชัย กล่าวต่อว่า การแชร์ข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการเติมเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมนายวีระชัย กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะยาวธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนโดยธนาคารประเมินว่าทั้งปี 2568 GDP จะขยายตัวได้ 2.0% และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้มากน้อยเพียงใด ธนาคารมีการประเมินว่า กนง.มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.0% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าธนาคารก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยยังคาดว่าผลประกอบการทั้งปีของออมสินยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งออมสินพยายามรักษาการทำกำไรให้อยู่ในระด
อ่านต่อ >56