
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
กรมอุตุนิยมวิทยาเผยในช่วงวันที่ 7 – 13 ธ.ค. ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 – 3 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับในช่วงวันที่ 10 – 12 ธ.ค. จะมีลมตะวันออกพัดเข้ามาปกคลุม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 7 – 10 ธ.ค. ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ส่วนในช่วงวันที่ 11 – 12 ธ.ค. ภาคใต้ตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมีลมตะวันออกพัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและห่างฝั่งทะเลอันดามันจะมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนและห่างฝั่งทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตลอดช่วง อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนกลางในช่วงวันที่ 7 – 8 ธ.ค. คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างในช่วงวันที่ 10 – 11 ธ.ค. 68 ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ตอนบน ส่งผลให้พายุนี้จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ ข้อควรระวังขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดช่วงในช่วงวันที่ 6 และ 11 – 12 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม และขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
อ่านต่อ >23

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ไทม์ไลน์เหตุปะทะภูผาเหล็ก ไทย–กัมพูชาเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่ ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการของกองกำลังไทยที่กำลังดูแลภารกิจทหารช่าง โดยมีการยืนยันลำดับเหตุการณ์เป็นไทม์ไลน์ดังนี้ ไทม์ไลน์เหตุการณ์ก่อนเวลา 14.15 น. – ภารกิจ รปภ. เส้นทางยุทธวิธีหน่วยพัน.ร.13 (ฉก.1) ของกองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยให้ทหารช่างที่อยู่ระหว่างปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธีจากฐานปฏิบัติการภูผาเหล็กไปยังจุดตรวจเพียงฟ้า ขณะเดียวกันพบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาเข้ามาใกล้แนวลวดหนามในพื้นที่ทับซ้อน14.15 น. – กัมพูชาเปิดฉากยิงทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงใส่กำลังพลไทย บริเวณพิกัด VA 5417 8739 ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยของไทยต้องยิงตอบโต้ทันที เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุปะทะ14.16 น. – การปะทะรุนแรงขึ้นหลังการเปิดฉากยิงไม่นาน สถานการณ์ทวีความรุนแรงฝั่งกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธหนักประเภท ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ยิงเข้ามากองทัพภาคที่ 2 สั่งเตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบหน่วยไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง (ROE) เพื่อควบคุมพื้นที่14.50 น. – เสียงปืนสงบการยิงปะทะยุติลงหลังดำเนินต่อเนื่องราว 35 นาที หน่วยไทยยังคงตรึงกำลังอย่างเข้มงวด เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เสถียรและมีโอกาสกลับมาตึงเครียดได้อีก14.53 น. – ส่งกลับสายแพทย์เจ้าหน้าที่แพทย์สนามเร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากจุดปะทะ เพื่อนำส่งกองบังคับการและโรงพยาบาลเพื่อดูแลอาการโดยด่วน ผลกระทบและความเสียหายกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ามีกำลังพลไทยบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ 1. ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงบริเวณขา 2. พลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกกระสุนยิงใส่เสื้อเกราะ ทำให้ฟกช้ำและแน่นหน้าอกทั้งสองนายเข้ารับการรักษาแล้ว และอยู่ในภาวะปลอดภัยปัจจุบันไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้ และเสริมกำลังเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำในเขตชายแดน
อ่านต่อ >116

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่าเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนสถานการณ์จะยุติลงในเวลา 14.50 น.นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพดำเนินมาตรการปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ พร้อมดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งอำนวยความสะดวกด้านการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เดินทางออกจากจุดเสี่ยงทันทีตามเส้นทางอพยพที่ประกาศ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจลุกลามได้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานเพิ่มเติมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ผู้ถูกยิงบริเวณขา และผู้ที่ถูกกระสุนเฉี่ยวเสื้อเกราะจนเกิดอาการแน่นหน้าอก ทั้งสองนายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว และอาการอยู่ในภาวะปลอดภัย กองทัพยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินทิศทางสถานการณ์และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในแนวชายแดน
อ่านต่อ >41

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ถือเป็นวันเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นการยกระดับและปฏิรูปกฎหมายแรงงานครั้งสำคัญของประเทศไทย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแรงงานและเสริมความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตครอบครัวกฎหมายดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน คือวันที่ 7 ธันวาคมนี้ โดยมีสาระสำคัญที่เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกจ้างอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ • ลาคลอดบุตร เพิ่มจาก 98 เป็น 120 วัน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในระหว่างลาคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานไม่เกิน60วัน• ลาดูแลบุตรป่วย เพิ่มสิทธิลาได้อีก 15 วัน ในกรณีบุตรเจ็บป่วย พิการ หรือมีความผิดปกติ โดยได้รับค่าจ้าง ร้อยละ50• ลาช่วยภรรยาคลอดบุตร เป็นครั้งแรกในกฎหมายไทย ให้สิทธิคู่สมรสลาได้ 15 วัน ได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน• คุ้มครองลูกจ้างจ้างเหมาบริการในหน่วยงานรัฐ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างทั่วไป ทั้งค่าแรง วันหยุด และสิทธิการลานางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้สะท้อนนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยให้สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน ส่งเสริมความเท่าเทียมในครอบครัว และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนทั้งนี้ขอให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างศึกษาและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ เพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างราบรื่น และก่อประโยชน์สูงสุดต่อระบบแรงงานของประเทศ
อ่านต่อ >40

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
กรมอุตุนิยมวิทยาเผยในช่วงวันที่ 7 – 13 ธ.ค. ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 – 3 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับในช่วงวันที่ 10 – 12 ธ.ค. จะมีลมตะวันออกพัดเข้ามาปกคลุม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 7 – 10 ธ.ค. ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ส่วนในช่วงวันที่ 11 – 12 ธ.ค. ภาคใต้ตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมีลมตะวันออกพัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและห่างฝั่งทะเลอันดามันจะมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนและห่างฝั่งทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตลอดช่วง อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนกลางในช่วงวันที่ 7 – 8 ธ.ค. คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างในช่วงวันที่ 10 – 11 ธ.ค. 68 ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ตอนบน ส่งผลให้พายุนี้จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ ข้อควรระวังขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดช่วงในช่วงวันที่ 6 และ 11 – 12 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม และขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
อ่านต่อ >23

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ไทม์ไลน์เหตุปะทะภูผาเหล็ก ไทย–กัมพูชาเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่ ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการของกองกำลังไทยที่กำลังดูแลภารกิจทหารช่าง โดยมีการยืนยันลำดับเหตุการณ์เป็นไทม์ไลน์ดังนี้ ไทม์ไลน์เหตุการณ์ก่อนเวลา 14.15 น. – ภารกิจ รปภ. เส้นทางยุทธวิธีหน่วยพัน.ร.13 (ฉก.1) ของกองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยให้ทหารช่างที่อยู่ระหว่างปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธีจากฐานปฏิบัติการภูผาเหล็กไปยังจุดตรวจเพียงฟ้า ขณะเดียวกันพบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาเข้ามาใกล้แนวลวดหนามในพื้นที่ทับซ้อน14.15 น. – กัมพูชาเปิดฉากยิงทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงใส่กำลังพลไทย บริเวณพิกัด VA 5417 8739 ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยของไทยต้องยิงตอบโต้ทันที เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุปะทะ14.16 น. – การปะทะรุนแรงขึ้นหลังการเปิดฉากยิงไม่นาน สถานการณ์ทวีความรุนแรงฝั่งกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธหนักประเภท ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ยิงเข้ามากองทัพภาคที่ 2 สั่งเตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบหน่วยไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง (ROE) เพื่อควบคุมพื้นที่14.50 น. – เสียงปืนสงบการยิงปะทะยุติลงหลังดำเนินต่อเนื่องราว 35 นาที หน่วยไทยยังคงตรึงกำลังอย่างเข้มงวด เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เสถียรและมีโอกาสกลับมาตึงเครียดได้อีก14.53 น. – ส่งกลับสายแพทย์เจ้าหน้าที่แพทย์สนามเร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากจุดปะทะ เพื่อนำส่งกองบังคับการและโรงพยาบาลเพื่อดูแลอาการโดยด่วน ผลกระทบและความเสียหายกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ามีกำลังพลไทยบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ 1. ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงบริเวณขา 2. พลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกกระสุนยิงใส่เสื้อเกราะ ทำให้ฟกช้ำและแน่นหน้าอกทั้งสองนายเข้ารับการรักษาแล้ว และอยู่ในภาวะปลอดภัยปัจจุบันไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้ และเสริมกำลังเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำในเขตชายแดน
อ่านต่อ >116

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่าเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนสถานการณ์จะยุติลงในเวลา 14.50 น.นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพดำเนินมาตรการปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ พร้อมดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งอำนวยความสะดวกด้านการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เดินทางออกจากจุดเสี่ยงทันทีตามเส้นทางอพยพที่ประกาศ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจลุกลามได้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานเพิ่มเติมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ผู้ถูกยิงบริเวณขา และผู้ที่ถูกกระสุนเฉี่ยวเสื้อเกราะจนเกิดอาการแน่นหน้าอก ทั้งสองนายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว และอาการอยู่ในภาวะปลอดภัย กองทัพยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินทิศทางสถานการณ์และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในแนวชายแดน
อ่านต่อ >41

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ถือเป็นวันเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นการยกระดับและปฏิรูปกฎหมายแรงงานครั้งสำคัญของประเทศไทย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแรงงานและเสริมความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตครอบครัวกฎหมายดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน คือวันที่ 7 ธันวาคมนี้ โดยมีสาระสำคัญที่เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกจ้างอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ • ลาคลอดบุตร เพิ่มจาก 98 เป็น 120 วัน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในระหว่างลาคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานไม่เกิน60วัน• ลาดูแลบุตรป่วย เพิ่มสิทธิลาได้อีก 15 วัน ในกรณีบุตรเจ็บป่วย พิการ หรือมีความผิดปกติ โดยได้รับค่าจ้าง ร้อยละ50• ลาช่วยภรรยาคลอดบุตร เป็นครั้งแรกในกฎหมายไทย ให้สิทธิคู่สมรสลาได้ 15 วัน ได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน• คุ้มครองลูกจ้างจ้างเหมาบริการในหน่วยงานรัฐ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างทั่วไป ทั้งค่าแรง วันหยุด และสิทธิการลานางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้สะท้อนนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยให้สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน ส่งเสริมความเท่าเทียมในครอบครัว และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนทั้งนี้ขอให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างศึกษาและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ เพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างราบรื่น และก่อประโยชน์สูงสุดต่อระบบแรงงานของประเทศ
อ่านต่อ >40

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
กรมอุตุนิยมวิทยาเผยในช่วงวันที่ 7 – 13 ธ.ค. ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 – 3 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับในช่วงวันที่ 10 – 12 ธ.ค. จะมีลมตะวันออกพัดเข้ามาปกคลุม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 7 – 10 ธ.ค. ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ส่วนในช่วงวันที่ 11 – 12 ธ.ค. ภาคใต้ตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมีลมตะวันออกพัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและห่างฝั่งทะเลอันดามันจะมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนและห่างฝั่งทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตลอดช่วง อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนกลางในช่วงวันที่ 7 – 8 ธ.ค. คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างในช่วงวันที่ 10 – 11 ธ.ค. 68 ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ตอนบน ส่งผลให้พายุนี้จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ ข้อควรระวังขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดช่วงในช่วงวันที่ 6 และ 11 – 12 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม และขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
อ่านต่อ >23