รีเซต

โบรกคาดหุ้นไทยฟื้นตัว! แรงหนุนเฟด-กนง.หั่นดอกเบี้ย ชูหุ้นปันผลสูง-มีปัจจัยบวกเฉพาะ

โบรกคาดหุ้นไทยฟื้นตัว! แรงหนุนเฟด-กนง.หั่นดอกเบี้ย ชูหุ้นปันผลสูง-มีปัจจัยบวกเฉพาะ
TNN ช่อง16
6 ธันวาคม 2568 ( 17:59 )
17

ดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดีดตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัท หลักทรัพย์ หลังสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มคลี่คลายและรัฐบาลเร่งออกมาตรการ ช่วยเหลือ ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป นำโดย กลุ่มแบงก์ เทคโนโลยีและพลังงานซึ่งได้รับ อานิสงส์เพิ่มเติมจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นหลังโอเปกพลัสมีมติไม่เพิ่มกำลังการ ผลิตน้ำมันในไตรมาส 1/2569 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากคาดการณ์ เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. รวมถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของไทยในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 0.25%  จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.50%  

ส่วนแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนหรือไม่ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงหยุดยาวปลายปี ในวันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกันเลยค่ะ

เริ่มจาก   “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า  ตลาดหุ้นไทยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาปรับตัวลง 4.4% ต่ำสุดเป็นอันดับ 6  ของโลกได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในภาคใต้ และสถานการณ์เมืองในประเทศที่ยังไม่มีความแน่นอน แต่เมื่อผ่านเข้ามาในต้นเดือนธ.ค.ตลาดหุ้นไทยเริ่มขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ที่คลี่คลายหนุนการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมา 

2.การยุบสภาฯ น่าจะเป็นไทม์ไลน์เดิมคือวันที่ 31 ม.ค. 69 เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะคุยกันในเรื่องนี้ เพราะมีเรื่องช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากน้ำท่วมก่อน ดังนั้นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอาจจะเลื่อนออกไปก่อน 

3. เงินเฟ้อของไทยในเดือนพ.ย.ล่าสุดที่ติดลบ 0.49% ต่อเนื่องในช่วง 8 เดือน อาจจะเห็นกนง.ของไทยลดดอกเบี้ยในวันที่ 17 ธ.ค.นี้  ซึ่งจะแป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นขึ้นมาได้ 

ทั้งนี้เห็นได้จากฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยแล้ว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ SET ขึ้นมาประมาณ 1.3% ซึ่งหากเทียบเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีปรับขึ้นมา 2.1% เวียดนาม 149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีหุ้นขึ้นมา 2.3% อินโดนีเซียซื้อสุทธิ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีหุ้นขึ้นมา 1.5% ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียขายสุทธิ 543  ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีหุ้นปรับตัวลง 0.6%  ไต้หวันขายสุทธิ 59  ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีหุ้นบวก 0.45% ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีหุ้นปรับตัวลง 2.1%

ส่วนปัจจัยภายนอกตลาดติดตามประชุมเฟด คาดลดดอกเบี้ยลง 0.25% แต่ต้อรอดู dot pot มีมุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้าอย่างไร รวมถึงจับตาตัวเลขเศรษฐกิจจีน เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันที่ 18 ธ.ค. รวมถึงประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือบีโอเจ วันที่ 19 ธ.ค.ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงประเด็น “YEN CARRY TRADE”เนื่องจากการเดินหน้านโยบายการเงินสวนทาง กันระหว่างเฟดและบีโอเจ 


ทั้งนี้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยผ่านมรสุมหลายปัจจัยโดยเฉพาะในประเทศ ทำให้ผลตอบแทนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(ตั้งแต่สิ้นปี 2022 - ปัจจุบัน) แพ้ทุกสินทรัพย์(ยกเว้นน้ำมัน) โดยตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นเดียวที่ปรับตัวลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา SET -22.2% MAI -63.2% สวนทางตลาดหุ้นอื่นๆ NASDAQ +110.5% MSCI ACWI +62.1% MSCI EM +39.9% รวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี (BITCOIN +409% ETHEREUM +122%) GOLD +135% ที่ปรับตัวขึ้น จนมี VALUATION ถูกกว่าประเทศอื่นๆ

 โดยปัจจุบัน SET มี จำนวนหุ้นส่วนใหญ่ถูกเกลื่อนตลาด มี PBV ต่ำ 1 เท่า ถึง 461 บริษัท (จากทั้งหมด 704 บริษัท) และล่าสุดมี TRAILING P/E ตลาด แค่ 15.4 เท่า แต่ถ้าตัดหุ้นใหญ่สุดออก (DELTA) เหลือ 13.2 เท่า ถูกกว่า MSCI ACWI มี P/E 22 เท่า และ MSCI EM 16 เท่า 

ดังนั้นต้องรอดูว่าในสัปดาห์หน้าคลังจะเสนอมาตรกระตุ้นตลาดทุน โดยนำ TISA หรือเครื่องมือการออมนำมาหักลดหย่อนภาษี เข้าครม.สัปดาห์หน้า หวังดันปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยกลับมาคึกคัก โดยเป็นมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล (INDIVIDUAL SAVING ACCOUNT) เพื่อการลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกทีว่าจะ เหมือนกับทางญี่ปุ่น NISA หรือไม่

นอกจากนี้การที่บริษัทจดทะเบียนเข้ามาซื้อหุ้นคืนกันเป็นจำนวนมากมีมูลค่ากว่า 3.4 หมื่นล้านบาท มากสุดเป็นประวัติการณ์หากเทียบกับช่วงโควิดอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมามูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเบาบาง แต่บริษัทจดทะเบียนเชื่อว่ายังสามารถทำกำไรได้ดีก็ได้เข้ามาเก็บสะสมหุ้นมากขึ้นและคาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในปีถัดไปปรับตัวดีขึ้น  ซึ่งจากข้อมูลในอดีตพบว่า 

 - ปี 2013 ซื้อสะสม 1.1 หมื่นล้านบาท ปี 2014 SET + 15%

- ปี 2016 ซื้อสะสม 9.0 พันล้านบาท ปี 2017 SET +14%

- ปี 2020 ซื้อสะสม 2.4 หมื่นล้านบาท ปี 2021 SET +14%

ทั้งนี้ประเมินกรอบแนวรับที่ 1,250 จุด แนวต้านที่ 1,280-1,300 จุด กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ เช่น หุ้นได้รับผลดีจากการปรับเพดานเงินสมทบประกันสังคม แนะนำ BCH ราคาเป้าหมาย 18 บาท  หุ้นรับผลบวกปรับเวลาขายแอลกอฮอลล์ แนะนำ CPALL ราคาเป้าหมาย 72 บาท  หุ้น CPAXT ราคาเป้าหมาย 23 บาท  และเก็งกำไรหุ้น PTTEP ราคาเป้าหมาย 140 บาท

 ฝั่ง “ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าแกว่งไซด์เวย์อัพ  โดยกระทรวงการคลังเตรียมออกมาตรการชุดใหม่เพื่อส่งเสริมการออมของประชาชน โดยเฉพาะการออมผ่านตลาดทุน ซึ่งจะประกาศเป็นแพ็กเกจเสนอที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า เน้นปรับโครงสร้างสิทธิลดหย่อนภาษีที่ในปัจจุบันผู้มีรายได้สูงได้รับประโยชน์มากกว่าผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมกับขยายฐานตลาดทุนให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ  

โดยเตรียมนำระบบ Individual Saving Account (ISA) มาใช้ ให้ประชาชนทุกคนมีบัญชีออมการลงทุนของตนเอง 1 บัญชี สามารถเลือกลงทุนในตลาดทุนได้โดยตรงตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีโดยตรง ไม่ต้องยื่นลดหย่อนภาษีจากผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เหมือนที่ผ่านมา  

พร้อมเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนอย่าง TISA หรือ Thailand Individual Saving Account  เป็นมาตรการส่งเสริมการออมและลงทุนในหุ้นไทย โดยผู้ลงทุนที่ลงทุนผ่านบัญชี TISA เมื่อมีการลงทุนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้นไทย จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อทำตามเงื่อนไขที่กำหนด  คาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดทุนไทยให้ดีขึ้น หลังจากที่เงียบเหงามานาน

ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค.นี้ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทย ขณะที่ไทยก็จะมีการประชุมกนง.นัดสุดท้ายตลาดก็มองว่าน่าจะปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้า และหุ้นที่มีหนี้สูงอาจจะมีแรงซื้อกลับ แต่ที่สำคัญต้องติดตามคือเรื่องการเปิดประชุมสภาฯ ว่า จะมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง หรือมีการยุบสภาฯหรือไม่ 

โดยประเมินกรอบดัชนีเคลื่อนไหวที่ 1,260-1,300 จุด เน้นหุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนเด่น เลือก SCB และ KTB โดยเฉพาะ KTB ได้รับอานิงส์จาการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ  ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ เลือก TIDLOR เนื่องจากมีการบริหารจัดการที่ดี NPL 1% ต่ำสุดในกลุ่มและได้ประโยชน์จากต้นทุนการเงินที่ลดลงจากดอกเบี้ยขาลง  

ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เน้น DELTA โรงไฟฟ้า แนะนำ GUNKUL แม้ว่าจะได้รับผลกระทบค่าไฟที่ปรับตัวลดลง แต่ได้แรงหนุนจาการที่รัฐส่งเสริมใช้โซลาร์ในชุมชน ด้านอสังหาริมทรัพย์ ชอบหุ้น AP ยอดโอนปรับตัวสูงขึ้น คาดปันผลดี

สำหรับตลาดหุ้นไทยแม้ว่า Valuation จะสู้จีนและฮ่องกงไม่ได้ แต่นักลงทุนยังสามารถเข้ามาลงทุนได้ โดยเฉพาะหุ้นปันผลที่ยังให้ผลตอบแทนดีเฉลี่ย 3-4%  อย่างไรก็ตาม แรงส่งท้ายปีนอกจากจะเป็นเรื่องการทำวินโดว์เดรสซิ่งแล้ว อาจจะรอลุ้นซานต้าแรลลี่ และที่สำคัญคือเรื่องการเมืองในประแทศ ซึ่งมองว่าหากรัฐยุบสภาตามไทม์ไลน์เดิม 31 ม.ค. 69 อาจจะเห็นตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนบ้าง โดยการลงทุนเน้นหุ้นปันผลหรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง