
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กองทัพภาคที่ 2 ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ การคุ้มครองศักดิ์ศรีและชีวิตของบุคคลที่ผ่านสภาวะบอบช้ำจากพื้นที่ขัดแย้ง มาตรฐานด้านมนุษยธรรมต่อผู้ผ่านสภาวะความตึงเครียดจากการสู้รบ โดยระบุว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย และปรากฏว่าได้กลับไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น ฝ่ายไทย ขอเรียนว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดำเนินการดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์ ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมหลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบโดยทันทีโดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายความเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ ไทยยืนหยัดในหลักการว่า “ทุกชีวิตมีคุณค่า และต้องได้รับการปกป้องภายใต้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญของความมั่นคงสมัยใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
อ่านต่อ >22

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ขยายผลจากพื้นที่ความมั่นคงสู่เวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ภายใต้ยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญก่อนสรุปผลข้อตกลงแบบค่าตอบแทนซึ่งกันและกัน แต่กลับต้องหยุดชั่วคราวหลังสหรัฐฯ ระบุว่าไทยจำเป็นต้องให้คำมั่นต่อปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชาก่อนจึงจะสามารถเดินหน้าการเจรจาได้ความตึงเครียดบริเวณชายแดนตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพ และด่านการค้าหลายแห่งปิดทำการชั่วคราว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้วอชิงตันจับตามองความเสี่ยงต่อเสถียรภาพภูมิภาคและผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย ก่อนจะประกาศระงับเจรจาภาษีชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากไทยไม่กลับเข้าร่วมกรอบสันติภาพ การหารือด้านการค้าจะไม่สามารถเดินหน้าต่อได้แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะยืนยันกับนายกรัฐมนตรีไทยว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการแทรกแซงข้อพิพาทชายแดน แต่ท่าทีของผู้แทนการค้าแสดงให้เห็นว่าภาษีถูกใช้เพื่อกดดันไทยให้สร้างความมั่นคงในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการหารือให้อาจใช้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นสัญญาณความร่วมมือ เพื่อให้การเจรจาการค้ากลับเข้าสู่เส้นทางตามเดิม การชะลอการเจรจาทำให้ไทยเสี่ยงกลับสู่ภาษีนำเข้าระดับสูงถึง 36% สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารแปรรูป เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องประดับ ซึ่งมูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 8–9 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับเงื่อนไขในกรอบที่เคยเจรจาไว้ ซึ่งจะช่วยลดภาษีลงเหลือเพียง 0–19% สำหรับบางรายการฝ่ายไทยยืนยันหลักการแยกประเด็นความมั่นคงออกจากการเจรจาการค้า และชี้ว่าปัญหาชายแดนกำลังถูกแก้ไขผ่านช่องทางการทูตและทหารอยู่แล้ว พร้อมขอให้สหรัฐฯ พิจารณาเดินหน้าเจรจาโดยไม่ผูกเงื่อนไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ไทยยังต้องบริหารสัมพันธ์กับมหาอำนาจด้วยความรอบคอบ เนื่องจากความล่าช้าด้านภาษีมีผลต่อผู้ส่งออกและความสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจโดยตรง นักวิเคราะห์จำนวนมากเห็นตรงกันว่ายุคทรัมป์ใช้ “ภาษี” เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและเพื่อกำกับพฤติกรรมพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีไทยจึงไม่ใช่เพียงปัญหาความมั่นคงชายแดน แต่เป็นสัญญาณของการเช
อ่านต่อ >11

#ข่าวต่างประเทศ #TNN ช่อง16
สำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่น รายงานว่า ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นเดินทางไปจีนเพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งที่กำลังปะทุขึ้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นอันเป็นผลสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นกล่าวต่อหน้ารัฐสภาเกี่ยวกับ “ไต้หวัน” ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สร้างความไม่พอใจให้กับจีนอย่างมาก จนนำมาสู่การที่ทางการจีนต้องเรียกตัวเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นไปตักเตือน รวมถึงการออกคำแนะนำให้พลเมืองจีนงดเดินทางไปญี่ปุ่น โดยคาดการณ์ว่าเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสที่จะเดินทางไปเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดกับฝั่งจีนคือ “คานาอิ มาซาอากิ” ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียและโอเชียเนีย ของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าเขาจะเดินทางถึงจีนภายในวันนี้ (17 พฤศจิกายน)NHK รายงานด้วยว่า ระหว่างการเยือนจีน มาซาอากิ จะเข้าพบ หลิว จินซง ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศจีน และเป็นที่คาดการณ์ด้วยว่า มาซาอากิ จะอธิบายถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเกี่ยวกับไต้หวัน เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับฝั่งจีนและยืนยันว่าจุดยืนของญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในไต้หวันนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม รวมถึงเขาจะเรียกร้องให้จีนพยายามประคับประคองความเห็นต่างระหว่างสองประเทศไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ คาดว่า มาซาอากิ จะยื่นคำประท้วงต่อจีนกรณีที่กงสุลใหญ่จีนประจำนครโอซากาโพสต์ข้อความเพื่อตอบโต้ทาคาอิจิด้วยถ้อยคำและคำขู่ที่รุนแรงบนโซเชียลมีเดียและต้องการให้ฝ่ายจีนตอบสนองอย่างเหมาะสม จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สมาชิกพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านของญี่ปุ่นบางคนได้เรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อกงสุลใหญ่จีน รวมถึงการเนรเทศเขาในฐานะ “บุคคลไม่พึงปรารถนา” (persona non grata) ออกจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งใจที่จะจับตาความเคลื่อนไหวของจีนผ่านการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศในครั้งนี้ โดยหวังว่าจะป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งนี้ มิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวในวันนี้ว่าพบเรือของยามชายฝั่งจีนเข้ามาในน่านน้ำของญี่ปุ่นบริเวณ "หมู่เกาะเซ็งกากุ" เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งญี่ปุ่นมองว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และยังเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและมีการเรียกร้องให้ทางการจีนใช้วิธีทางกา
อ่านต่อ >31

#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดย ดร. ทาเคชิ อินิโมตะ (Takeshi Inomata) ศาสตราจารย์มานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ค้นพบอนุสรณ์สถานขนาดมหึมายุคต้นของชาวมายา บริเวณพื้นที่ชื่อว่า อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ในรัฐตาบัสโก (Tabasco) ประเทศเม็กซิโก (Mexico)ซึ่งเป็น โครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน ปัจจุบัน อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ยังถือเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมายาที่เคยถูกค้นพบ ซึ่งอาจเปลี่ยนภาพจำเดิมที่เชื่อว่า สังคมโบราณต้องมี “ผู้นำรวมศูนย์อำนาจ” จึงจะสร้างสิ่งก่อสร้างมหึมาได้ แต่หลักฐานใหม่ชี้ว่า ชาวมายายุคแรกอาจสร้างโครงการขนาดยักษ์ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีชนชั้นกษัตริย์หรืออำนาจสั่งการจากบนลงล่างที่มาของภาพArizona University เทคโนโลยี Lidar เผยโครงสร้างที่ซ่อนมากว่า 3,000 ปีที่มาของภาพArizona Universityทีมวิจัยนานาชาติจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ใช้เทคโนโลยีไลดาร์ (light detection and ranging) ยิงเลเซอร์จากเครื่องบินเพื่อสแกนทะลุป่าทึบ และพบร่องรอยแรกของ อากวาดา เฟนิกซ์ในปี 2017 ก่อนจะยืนยันโครงสร้างยักษ์ยาวเกือบ 1 ไมล์ หรือราว 1.6 กิโลเมตร ในปี 2020 พร้อมกับพบสถานที่คล้ายกันเกือบ 500 แห่ง ทั่วเม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนว่า นี่คือศูนย์กลางพิธีกรรมขนาดใหญ่ ที่ผู้คนจากหลากพื้นที่มารวมตัวกันงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารไซเอนซ์ แอดวานเซส (Science Advances)โดยทีมวิจัยนานาชาติ นำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ชี้ว่า อากวาดา เฟนิกซ์ ไม่ได้เป็นเพียงแท่นยกระดับขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้เป็น “แผนที่จักรวาล (cosmic map)” อีกด้วย จากการศึกษาโครงสร้าง วิธีการก่อสร้าง และรูปแบบการใช้งาน นักวิจัยพบหลักฐานชัดเจนว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้ทำหน้าที่เป็น “จักรวาลภาพ (cosmogram)” หรือแผนที่สัญลักษณ์ของจักรวาลตามความเชื่อโบราณ ซึ่งไม่เพียงทำให้สถานที่แห่งนี้ทรงคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังอาจเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกมายายุคแรกอีกด้วยที่มาของภาพArizona Universityที่สำคัญ โครงสร้างหลักของอนุสรณ์สถานชี้ไปยังดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม และ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งห่างกัน 130 วันตรงกับครึ่งหนึ่ง ของปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ 260 วันของชาวเมโสอเมริกา (Mesoamerica) แสดงให้เห็นว่
อ่านต่อ >20

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กองทัพภาคที่ 2 ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ การคุ้มครองศักดิ์ศรีและชีวิตของบุคคลที่ผ่านสภาวะบอบช้ำจากพื้นที่ขัดแย้ง มาตรฐานด้านมนุษยธรรมต่อผู้ผ่านสภาวะความตึงเครียดจากการสู้รบ โดยระบุว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย และปรากฏว่าได้กลับไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น ฝ่ายไทย ขอเรียนว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดำเนินการดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์ ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมหลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบโดยทันทีโดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายความเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ ไทยยืนหยัดในหลักการว่า “ทุกชีวิตมีคุณค่า และต้องได้รับการปกป้องภายใต้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญของความมั่นคงสมัยใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
อ่านต่อ >22

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ขยายผลจากพื้นที่ความมั่นคงสู่เวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ภายใต้ยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญก่อนสรุปผลข้อตกลงแบบค่าตอบแทนซึ่งกันและกัน แต่กลับต้องหยุดชั่วคราวหลังสหรัฐฯ ระบุว่าไทยจำเป็นต้องให้คำมั่นต่อปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชาก่อนจึงจะสามารถเดินหน้าการเจรจาได้ความตึงเครียดบริเวณชายแดนตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพ และด่านการค้าหลายแห่งปิดทำการชั่วคราว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้วอชิงตันจับตามองความเสี่ยงต่อเสถียรภาพภูมิภาคและผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย ก่อนจะประกาศระงับเจรจาภาษีชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากไทยไม่กลับเข้าร่วมกรอบสันติภาพ การหารือด้านการค้าจะไม่สามารถเดินหน้าต่อได้แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะยืนยันกับนายกรัฐมนตรีไทยว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการแทรกแซงข้อพิพาทชายแดน แต่ท่าทีของผู้แทนการค้าแสดงให้เห็นว่าภาษีถูกใช้เพื่อกดดันไทยให้สร้างความมั่นคงในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการหารือให้อาจใช้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นสัญญาณความร่วมมือ เพื่อให้การเจรจาการค้ากลับเข้าสู่เส้นทางตามเดิม การชะลอการเจรจาทำให้ไทยเสี่ยงกลับสู่ภาษีนำเข้าระดับสูงถึง 36% สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารแปรรูป เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องประดับ ซึ่งมูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 8–9 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับเงื่อนไขในกรอบที่เคยเจรจาไว้ ซึ่งจะช่วยลดภาษีลงเหลือเพียง 0–19% สำหรับบางรายการฝ่ายไทยยืนยันหลักการแยกประเด็นความมั่นคงออกจากการเจรจาการค้า และชี้ว่าปัญหาชายแดนกำลังถูกแก้ไขผ่านช่องทางการทูตและทหารอยู่แล้ว พร้อมขอให้สหรัฐฯ พิจารณาเดินหน้าเจรจาโดยไม่ผูกเงื่อนไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ไทยยังต้องบริหารสัมพันธ์กับมหาอำนาจด้วยความรอบคอบ เนื่องจากความล่าช้าด้านภาษีมีผลต่อผู้ส่งออกและความสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจโดยตรง นักวิเคราะห์จำนวนมากเห็นตรงกันว่ายุคทรัมป์ใช้ “ภาษี” เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและเพื่อกำกับพฤติกรรมพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีไทยจึงไม่ใช่เพียงปัญหาความมั่นคงชายแดน แต่เป็นสัญญาณของการเช
อ่านต่อ >11

#ข่าวต่างประเทศ #TNN ช่อง16
สำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่น รายงานว่า ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นเดินทางไปจีนเพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งที่กำลังปะทุขึ้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นอันเป็นผลสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นกล่าวต่อหน้ารัฐสภาเกี่ยวกับ “ไต้หวัน” ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สร้างความไม่พอใจให้กับจีนอย่างมาก จนนำมาสู่การที่ทางการจีนต้องเรียกตัวเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นไปตักเตือน รวมถึงการออกคำแนะนำให้พลเมืองจีนงดเดินทางไปญี่ปุ่น โดยคาดการณ์ว่าเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสที่จะเดินทางไปเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดกับฝั่งจีนคือ “คานาอิ มาซาอากิ” ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียและโอเชียเนีย ของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าเขาจะเดินทางถึงจีนภายในวันนี้ (17 พฤศจิกายน)NHK รายงานด้วยว่า ระหว่างการเยือนจีน มาซาอากิ จะเข้าพบ หลิว จินซง ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศจีน และเป็นที่คาดการณ์ด้วยว่า มาซาอากิ จะอธิบายถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเกี่ยวกับไต้หวัน เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับฝั่งจีนและยืนยันว่าจุดยืนของญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในไต้หวันนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม รวมถึงเขาจะเรียกร้องให้จีนพยายามประคับประคองความเห็นต่างระหว่างสองประเทศไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ คาดว่า มาซาอากิ จะยื่นคำประท้วงต่อจีนกรณีที่กงสุลใหญ่จีนประจำนครโอซากาโพสต์ข้อความเพื่อตอบโต้ทาคาอิจิด้วยถ้อยคำและคำขู่ที่รุนแรงบนโซเชียลมีเดียและต้องการให้ฝ่ายจีนตอบสนองอย่างเหมาะสม จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สมาชิกพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านของญี่ปุ่นบางคนได้เรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อกงสุลใหญ่จีน รวมถึงการเนรเทศเขาในฐานะ “บุคคลไม่พึงปรารถนา” (persona non grata) ออกจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งใจที่จะจับตาความเคลื่อนไหวของจีนผ่านการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศในครั้งนี้ โดยหวังว่าจะป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งนี้ มิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวในวันนี้ว่าพบเรือของยามชายฝั่งจีนเข้ามาในน่านน้ำของญี่ปุ่นบริเวณ "หมู่เกาะเซ็งกากุ" เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งญี่ปุ่นมองว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และยังเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและมีการเรียกร้องให้ทางการจีนใช้วิธีทางกา
อ่านต่อ >31

#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดย ดร. ทาเคชิ อินิโมตะ (Takeshi Inomata) ศาสตราจารย์มานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ค้นพบอนุสรณ์สถานขนาดมหึมายุคต้นของชาวมายา บริเวณพื้นที่ชื่อว่า อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ในรัฐตาบัสโก (Tabasco) ประเทศเม็กซิโก (Mexico)ซึ่งเป็น โครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน ปัจจุบัน อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ยังถือเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมายาที่เคยถูกค้นพบ ซึ่งอาจเปลี่ยนภาพจำเดิมที่เชื่อว่า สังคมโบราณต้องมี “ผู้นำรวมศูนย์อำนาจ” จึงจะสร้างสิ่งก่อสร้างมหึมาได้ แต่หลักฐานใหม่ชี้ว่า ชาวมายายุคแรกอาจสร้างโครงการขนาดยักษ์ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีชนชั้นกษัตริย์หรืออำนาจสั่งการจากบนลงล่างที่มาของภาพArizona University เทคโนโลยี Lidar เผยโครงสร้างที่ซ่อนมากว่า 3,000 ปีที่มาของภาพArizona Universityทีมวิจัยนานาชาติจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ใช้เทคโนโลยีไลดาร์ (light detection and ranging) ยิงเลเซอร์จากเครื่องบินเพื่อสแกนทะลุป่าทึบ และพบร่องรอยแรกของ อากวาดา เฟนิกซ์ในปี 2017 ก่อนจะยืนยันโครงสร้างยักษ์ยาวเกือบ 1 ไมล์ หรือราว 1.6 กิโลเมตร ในปี 2020 พร้อมกับพบสถานที่คล้ายกันเกือบ 500 แห่ง ทั่วเม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนว่า นี่คือศูนย์กลางพิธีกรรมขนาดใหญ่ ที่ผู้คนจากหลากพื้นที่มารวมตัวกันงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารไซเอนซ์ แอดวานเซส (Science Advances)โดยทีมวิจัยนานาชาติ นำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ชี้ว่า อากวาดา เฟนิกซ์ ไม่ได้เป็นเพียงแท่นยกระดับขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้เป็น “แผนที่จักรวาล (cosmic map)” อีกด้วย จากการศึกษาโครงสร้าง วิธีการก่อสร้าง และรูปแบบการใช้งาน นักวิจัยพบหลักฐานชัดเจนว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้ทำหน้าที่เป็น “จักรวาลภาพ (cosmogram)” หรือแผนที่สัญลักษณ์ของจักรวาลตามความเชื่อโบราณ ซึ่งไม่เพียงทำให้สถานที่แห่งนี้ทรงคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังอาจเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกมายายุคแรกอีกด้วยที่มาของภาพArizona Universityที่สำคัญ โครงสร้างหลักของอนุสรณ์สถานชี้ไปยังดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม และ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งห่างกัน 130 วันตรงกับครึ่งหนึ่ง ของปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ 260 วันของชาวเมโสอเมริกา (Mesoamerica) แสดงให้เห็นว่
อ่านต่อ >20

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กองทัพภาคที่ 2 ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ การคุ้มครองศักดิ์ศรีและชีวิตของบุคคลที่ผ่านสภาวะบอบช้ำจากพื้นที่ขัดแย้ง มาตรฐานด้านมนุษยธรรมต่อผู้ผ่านสภาวะความตึงเครียดจากการสู้รบ โดยระบุว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย และปรากฏว่าได้กลับไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น ฝ่ายไทย ขอเรียนว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดำเนินการดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์ ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมหลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบโดยทันทีโดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายความเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ ไทยยืนหยัดในหลักการว่า “ทุกชีวิตมีคุณค่า และต้องได้รับการปกป้องภายใต้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญของความมั่นคงสมัยใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
อ่านต่อ >22