#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ดราม่าสอบครู: กรณี "ครูเบญ" เปิดโปงปัญหาเชิงระบบ เรื่องราวของ "ครูเบญ" น.ส.เบญญาภา วัย 24 ปี ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหญ่เกี่ยวกับความโปร่งใสและมาตรฐานในระบบการคัดเลือกครูของไทย เหตุการณ์เริ่มต้นในต้นเดือนกันยายน 2567 เมื่อเธอตัดสินใจเข้าร่วมการสอบบรรจุเป็นพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว ด้วยความหวังที่จะได้กลับไปทำงานใกล้บ้านและดูแลครอบครัววันที่ 9 กันยายน 2567 เมื่อ สพม.สระแก้ว ประกาศผลสอบครั้งแรก ปรากฏว่า "ครูเบญ" สอบได้อันดับ 1 ด้วยความดีใจ เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ และเตรียมตัวย้ายกลับบ้านเกิด แต่ความสุขของเธอกลับเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 12 กันยายน เพียงสามวันหลังจากประกาศผลครั้งแรก สพม.สระแก้ว ออกประกาศผลสอบฉบับใหม่ โดยชื่อของ "ครูเบญ" หายไปจากรายชื่อผู้สอบผ่านโดยสิ้นเชิงด้วยความสับสนและผิดหวัง "ครูเบญ" พยายามติดต่อสอบถามไปยัง สพม.สระแก้ว แต่กลับได้รับเพียงคำขอโทษ โดยปราศจากคำอธิบายที่ชัดเจน ทางหน่วยงานอ้างว่าความผิดพลาดเกิดจากการเฉลยคำตอบผิดและการประมวลผลคลาดเคลื่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในกระบวนการจัดสอบตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การออกข้อสอบไปจนถึงการตรวจและประมวลผลด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม "ครูเบญ" ตัดสินใจนำเรื่องราวมาเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านโซเชียลมีเดีย เรื่องราวของเธอได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโปร่งใสของกระบวนการสอบ และความเป็นไปได้ของการทุจริต กระแสสังคมออนไลน์แสดงความสงสัยในความโปร่งใส และให้กำลังใจ "ครูเบญ" ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาและร่วมเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ "ครูเบญ" วันที่ 16 กันยายน 2567 "ครูเบญ" พร้อมด้วยตัวแทนจากมูลนิธิฯ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการสอบ การกระทำนี้ยกระดับประเด็นจากปัญหาส่วนบุคคลสู่ประเด็นระดับชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กำหนดกรอบเวลาให้ได้ข้อสรุปภายใน 7 วัน และสั่งชะลอการรายงานตัวของผู้สอบผ่านคนอื่นๆ ไว้ก่อน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกรณีน
อ่านต่อ >32
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขยายเวลาลงทะเบียนให้กับคนพิการทุกคนทั่วประเทศ ไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เพื่อที่จะได้รับสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ขอให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศหรือที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นคนพิการ ขอให้เร่งมาขึ้นทะเบียน ออกบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อที่จะรักษาสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท ในขณะนี้ กระทรวง พม. ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ในการขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการ ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยโรงพยาบาลศูนย์ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ คนพิการสามารถไปที่โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการได้เป็นวันสต็อปเซอร์วิส ส่วนบางจังหวัดที่ยังดำเนินการไม่ได้ ขอให้เร่งไปขึ้นทะเบียน ทางเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. จะเร่งประสานงานเพื่อออกบัตรประจำตัวคนพิการให้คนพิการทุกคน เพื่อรักษาสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการ และที่สำคัญการโอนเงิน 10,000 บาท ให้กับพี่น้องคนพิการทุกคนนั้น ได้เน้นย้ำทางกระทรวง พม. และทุกหน่วยงานว่า ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเงิน 10,000 บาท ถึงมือคนพิการ โดยไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ถ้าหากประชาชนพบเห็นสิ่งที่ผิดปกติหรือสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ขอให้แจ้งมาได้ที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ผ่านฮอตไลน์ พม. 1300 และเราจะเร่งดำเนินการและทำให้มั่นใจว่าโครงการนี้ถึงมือคนพิการทุกคนอย่างแท้จริง
อ่านต่อ >12
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
เกาะติดเส้นทางพายุหมุนเขตร้อน 2 ลูกขณะนี้ ลูกแรก เป็นพายุโซนร้อน ซึ่งเป็นพายุลูกที่ 14 ของปีนี้ ชื่อ “ปูลาซัน” ซึ่งก่อตัวที่บริเวณเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ พายุลูกนี้ทิศทางไม่มาไทย แต่เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือค่อนไปทางตะวันตก คาดว่าวันนี้(18 ก.ย.)จะทำให้ฝนหนักที่ไต้หวัน และขึ้นฝั่งที่มณฑลฝูเจี้ยน ของจีนในวันที่ 19 กันยายน ซึ่งจะทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมากหลายเมืองในจีน ส่วนพายุลูกที่ 2 ลูกนี้ เส้นทางจะเคลื่อนผ่านไทยทางภาคตะวันออกเฉียงหนือและภาคเหนือตอนบน ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา อัปเดตเส้นทางพายุ เมื่อเวลา 04.00 น.ของวันนี้ พายุยังไม่ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นโซนร้อน ยังคงเป็นดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง และเคลื่อนตัวช้าลงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 20 กันยายนทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยา ของประกาศเตือนเป็นฉบับที่ 4 ให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งคาดว่าในช่วงวันที่ 20 – 21 กันยายน ที่พายุเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ และจะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะกระทบ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ส่วน ภาคเหนือตอนล่าง กระทบ จ. แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร และตาก ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักต่อเนื่องไปจนถึงหวันที่ 23 กันยายน นอกจากนี้กรมอุตุนิยมวิทยายังเตือนในระยะนี้ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ลมฝน จะมีกำลังแรงและพัดเข้าหาพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งจะส่งทำให้ช่วงวันที่ 20–23 ก.ย. ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคกลางตอนล่าง อาทิ กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนตกหนักถึงหนักมากส่วนภาคตะวันออก นครนายก ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราดและภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน จะมีฝนตกหนักในพื้นที่จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูลทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ยังประกาศเตือนช่วง 18–21 กันยายน ทั่วประเทศจะยังมีฝนตกต่อเนื่อง และจะตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ จากปัจจัยร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาค
อ่านต่อ >28
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุใต้ฝุ่น “ยางิ” ส่งผลให้เกิดอุทกภัยรุนแรงกระทบในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน ขณะนี้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยระดมสรรพกำลังจากทุกช่องทางเข้าช่วยเหลือประชาชน และสั่งการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบดูแลสาธารณูปโภคใกล้ชิดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งไฟฟ้าและประปา จัดทำชุดมาตรการขั้นสูงสุดหรือขั้นพิเศษเพื่อช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูประชาชนทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งเร่งฟื้นฟูระบบระบบไฟฟ้าและระบบน้ำประปาในพื้นที่ประสบภัยให้กลับมาให้บริการได้ตามปกติโดยเร็วนายจักรพงศ์ คำจันทร์ รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ 2) รักษาการแทนผู้ว่าการ กปภ. กล่าวว่า กปภ. ได้วางมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย สนองตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล ดังนี้1. มาตรการที่ 1 สนับสนุนน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปา เพื่ออุปโภคบริโภคให้เพียงพอ2. มาตรการที่ 2 ช่วยเหลือน้ำประปาฟรี เพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย3. มาตรการที่ 3 ยกเว้นการเก็บค่าน้ำประปาและค่าบริการทั่วไป ในเดือนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย ให้แก่ผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ (รหัส 11 12 13 และ 16) เช่น บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ สถานที่พักอาศัยของรัฐ สถานที่พักอาศัยที่มีการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดำเนินการเอง หอพัก แฟลต คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์ อาคารชุด ห้องแถว เป็นต้น และผู้ใช้น้ำประเภทที่ 2 ธุรกิจขนาดเล็ก (รหัส 29) เช่น สถานที่ที่อาจมีการอยู่อาศัยและมีการค้าขาย ประกอบการหรือรับจ้าง ที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้ใช้น้ำประเภทที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (โฮมสเตย์) เป็นต้น4. มาตรการที่ 4 ขยายเวลาค้างชำระค่าน้ำประปา ของผู้ใช้น้ำทุกประเภท เป็นระยะเวลา 60 วัน (2 รอบบิล) นับตั้งแต่เดือนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย5. มาตรการที่ 5 การผ่อนชำระค่าน้ำ หากครบกำหนดชำระเงินค่าน้ำแล้ว ผู้ใช้น้ำไม่สามารถชำระค่าน้ำได้ครบตามจำนวน สามารถขอผ่อนชำระค่าน้ำได้ที่ กปภ.สาขาในพื้นที่ทั้งนี้
อ่านต่อ >28
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ดราม่าสอบครู: กรณี "ครูเบญ" เปิดโปงปัญหาเชิงระบบ เรื่องราวของ "ครูเบญ" น.ส.เบญญาภา วัย 24 ปี ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหญ่เกี่ยวกับความโปร่งใสและมาตรฐานในระบบการคัดเลือกครูของไทย เหตุการณ์เริ่มต้นในต้นเดือนกันยายน 2567 เมื่อเธอตัดสินใจเข้าร่วมการสอบบรรจุเป็นพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว ด้วยความหวังที่จะได้กลับไปทำงานใกล้บ้านและดูแลครอบครัววันที่ 9 กันยายน 2567 เมื่อ สพม.สระแก้ว ประกาศผลสอบครั้งแรก ปรากฏว่า "ครูเบญ" สอบได้อันดับ 1 ด้วยความดีใจ เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ และเตรียมตัวย้ายกลับบ้านเกิด แต่ความสุขของเธอกลับเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 12 กันยายน เพียงสามวันหลังจากประกาศผลครั้งแรก สพม.สระแก้ว ออกประกาศผลสอบฉบับใหม่ โดยชื่อของ "ครูเบญ" หายไปจากรายชื่อผู้สอบผ่านโดยสิ้นเชิงด้วยความสับสนและผิดหวัง "ครูเบญ" พยายามติดต่อสอบถามไปยัง สพม.สระแก้ว แต่กลับได้รับเพียงคำขอโทษ โดยปราศจากคำอธิบายที่ชัดเจน ทางหน่วยงานอ้างว่าความผิดพลาดเกิดจากการเฉลยคำตอบผิดและการประมวลผลคลาดเคลื่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในกระบวนการจัดสอบตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การออกข้อสอบไปจนถึงการตรวจและประมวลผลด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม "ครูเบญ" ตัดสินใจนำเรื่องราวมาเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านโซเชียลมีเดีย เรื่องราวของเธอได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโปร่งใสของกระบวนการสอบ และความเป็นไปได้ของการทุจริต กระแสสังคมออนไลน์แสดงความสงสัยในความโปร่งใส และให้กำลังใจ "ครูเบญ" ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาและร่วมเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ "ครูเบญ" วันที่ 16 กันยายน 2567 "ครูเบญ" พร้อมด้วยตัวแทนจากมูลนิธิฯ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการสอบ การกระทำนี้ยกระดับประเด็นจากปัญหาส่วนบุคคลสู่ประเด็นระดับชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กำหนดกรอบเวลาให้ได้ข้อสรุปภายใน 7 วัน และสั่งชะลอการรายงานตัวของผู้สอบผ่านคนอื่นๆ ไว้ก่อน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกรณีน
อ่านต่อ >32
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขยายเวลาลงทะเบียนให้กับคนพิการทุกคนทั่วประเทศ ไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เพื่อที่จะได้รับสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ขอให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศหรือที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นคนพิการ ขอให้เร่งมาขึ้นทะเบียน ออกบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อที่จะรักษาสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท ในขณะนี้ กระทรวง พม. ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ในการขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการ ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยโรงพยาบาลศูนย์ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ คนพิการสามารถไปที่โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการได้เป็นวันสต็อปเซอร์วิส ส่วนบางจังหวัดที่ยังดำเนินการไม่ได้ ขอให้เร่งไปขึ้นทะเบียน ทางเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. จะเร่งประสานงานเพื่อออกบัตรประจำตัวคนพิการให้คนพิการทุกคน เพื่อรักษาสิทธิในการรับเงิน 10,000 บาท นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนออกบัตรประจำตัวคนพิการ และที่สำคัญการโอนเงิน 10,000 บาท ให้กับพี่น้องคนพิการทุกคนนั้น ได้เน้นย้ำทางกระทรวง พม. และทุกหน่วยงานว่า ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเงิน 10,000 บาท ถึงมือคนพิการ โดยไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ถ้าหากประชาชนพบเห็นสิ่งที่ผิดปกติหรือสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ขอให้แจ้งมาได้ที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ผ่านฮอตไลน์ พม. 1300 และเราจะเร่งดำเนินการและทำให้มั่นใจว่าโครงการนี้ถึงมือคนพิการทุกคนอย่างแท้จริง
อ่านต่อ >12
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
เกาะติดเส้นทางพายุหมุนเขตร้อน 2 ลูกขณะนี้ ลูกแรก เป็นพายุโซนร้อน ซึ่งเป็นพายุลูกที่ 14 ของปีนี้ ชื่อ “ปูลาซัน” ซึ่งก่อตัวที่บริเวณเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ พายุลูกนี้ทิศทางไม่มาไทย แต่เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือค่อนไปทางตะวันตก คาดว่าวันนี้(18 ก.ย.)จะทำให้ฝนหนักที่ไต้หวัน และขึ้นฝั่งที่มณฑลฝูเจี้ยน ของจีนในวันที่ 19 กันยายน ซึ่งจะทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมากหลายเมืองในจีน ส่วนพายุลูกที่ 2 ลูกนี้ เส้นทางจะเคลื่อนผ่านไทยทางภาคตะวันออกเฉียงหนือและภาคเหนือตอนบน ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา อัปเดตเส้นทางพายุ เมื่อเวลา 04.00 น.ของวันนี้ พายุยังไม่ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นโซนร้อน ยังคงเป็นดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง และเคลื่อนตัวช้าลงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 20 กันยายนทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยา ของประกาศเตือนเป็นฉบับที่ 4 ให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งคาดว่าในช่วงวันที่ 20 – 21 กันยายน ที่พายุเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ และจะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะกระทบ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ส่วน ภาคเหนือตอนล่าง กระทบ จ. แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร และตาก ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักต่อเนื่องไปจนถึงหวันที่ 23 กันยายน นอกจากนี้กรมอุตุนิยมวิทยายังเตือนในระยะนี้ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ลมฝน จะมีกำลังแรงและพัดเข้าหาพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งจะส่งทำให้ช่วงวันที่ 20–23 ก.ย. ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคกลางตอนล่าง อาทิ กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนตกหนักถึงหนักมากส่วนภาคตะวันออก นครนายก ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราดและภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน จะมีฝนตกหนักในพื้นที่จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูลทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ยังประกาศเตือนช่วง 18–21 กันยายน ทั่วประเทศจะยังมีฝนตกต่อเนื่อง และจะตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ จากปัจจัยร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาค
อ่านต่อ >28
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุใต้ฝุ่น “ยางิ” ส่งผลให้เกิดอุทกภัยรุนแรงกระทบในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน ขณะนี้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยระดมสรรพกำลังจากทุกช่องทางเข้าช่วยเหลือประชาชน และสั่งการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบดูแลสาธารณูปโภคใกล้ชิดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งไฟฟ้าและประปา จัดทำชุดมาตรการขั้นสูงสุดหรือขั้นพิเศษเพื่อช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูประชาชนทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งเร่งฟื้นฟูระบบระบบไฟฟ้าและระบบน้ำประปาในพื้นที่ประสบภัยให้กลับมาให้บริการได้ตามปกติโดยเร็วนายจักรพงศ์ คำจันทร์ รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ 2) รักษาการแทนผู้ว่าการ กปภ. กล่าวว่า กปภ. ได้วางมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย สนองตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล ดังนี้1. มาตรการที่ 1 สนับสนุนน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปา เพื่ออุปโภคบริโภคให้เพียงพอ2. มาตรการที่ 2 ช่วยเหลือน้ำประปาฟรี เพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย3. มาตรการที่ 3 ยกเว้นการเก็บค่าน้ำประปาและค่าบริการทั่วไป ในเดือนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย ให้แก่ผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ (รหัส 11 12 13 และ 16) เช่น บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ สถานที่พักอาศัยของรัฐ สถานที่พักอาศัยที่มีการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดำเนินการเอง หอพัก แฟลต คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์ อาคารชุด ห้องแถว เป็นต้น และผู้ใช้น้ำประเภทที่ 2 ธุรกิจขนาดเล็ก (รหัส 29) เช่น สถานที่ที่อาจมีการอยู่อาศัยและมีการค้าขาย ประกอบการหรือรับจ้าง ที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้ใช้น้ำประเภทที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (โฮมสเตย์) เป็นต้น4. มาตรการที่ 4 ขยายเวลาค้างชำระค่าน้ำประปา ของผู้ใช้น้ำทุกประเภท เป็นระยะเวลา 60 วัน (2 รอบบิล) นับตั้งแต่เดือนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย5. มาตรการที่ 5 การผ่อนชำระค่าน้ำ หากครบกำหนดชำระเงินค่าน้ำแล้ว ผู้ใช้น้ำไม่สามารถชำระค่าน้ำได้ครบตามจำนวน สามารถขอผ่อนชำระค่าน้ำได้ที่ กปภ.สาขาในพื้นที่ทั้งนี้
อ่านต่อ >28
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ดราม่าสอบครู: กรณี "ครูเบญ" เปิดโปงปัญหาเชิงระบบ เรื่องราวของ "ครูเบญ" น.ส.เบญญาภา วัย 24 ปี ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหญ่เกี่ยวกับความโปร่งใสและมาตรฐานในระบบการคัดเลือกครูของไทย เหตุการณ์เริ่มต้นในต้นเดือนกันยายน 2567 เมื่อเธอตัดสินใจเข้าร่วมการสอบบรรจุเป็นพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว ด้วยความหวังที่จะได้กลับไปทำงานใกล้บ้านและดูแลครอบครัววันที่ 9 กันยายน 2567 เมื่อ สพม.สระแก้ว ประกาศผลสอบครั้งแรก ปรากฏว่า "ครูเบญ" สอบได้อันดับ 1 ด้วยความดีใจ เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ และเตรียมตัวย้ายกลับบ้านเกิด แต่ความสุขของเธอกลับเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 12 กันยายน เพียงสามวันหลังจากประกาศผลครั้งแรก สพม.สระแก้ว ออกประกาศผลสอบฉบับใหม่ โดยชื่อของ "ครูเบญ" หายไปจากรายชื่อผู้สอบผ่านโดยสิ้นเชิงด้วยความสับสนและผิดหวัง "ครูเบญ" พยายามติดต่อสอบถามไปยัง สพม.สระแก้ว แต่กลับได้รับเพียงคำขอโทษ โดยปราศจากคำอธิบายที่ชัดเจน ทางหน่วยงานอ้างว่าความผิดพลาดเกิดจากการเฉลยคำตอบผิดและการประมวลผลคลาดเคลื่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในกระบวนการจัดสอบตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การออกข้อสอบไปจนถึงการตรวจและประมวลผลด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม "ครูเบญ" ตัดสินใจนำเรื่องราวมาเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านโซเชียลมีเดีย เรื่องราวของเธอได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโปร่งใสของกระบวนการสอบ และความเป็นไปได้ของการทุจริต กระแสสังคมออนไลน์แสดงความสงสัยในความโปร่งใส และให้กำลังใจ "ครูเบญ" ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาและร่วมเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ "ครูเบญ" วันที่ 16 กันยายน 2567 "ครูเบญ" พร้อมด้วยตัวแทนจากมูลนิธิฯ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการสอบ การกระทำนี้ยกระดับประเด็นจากปัญหาส่วนบุคคลสู่ประเด็นระดับชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กำหนดกรอบเวลาให้ได้ข้อสรุปภายใน 7 วัน และสั่งชะลอการรายงานตัวของผู้สอบผ่านคนอื่นๆ ไว้ก่อน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกรณีน
อ่านต่อ >32