#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวน” รองลงมาคือเรื่อง “คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนด” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความสับสน เข้าใจผิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้างนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 833,092 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 534 ข้อความสำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 518 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 12 ข้อความ Website จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 192 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 68 เรื่องกระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 103 เรื่องกลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 37 เรื่องกลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 16 เรื่องกลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 14 เรื่องกลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 22 เรื่องนายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงเรื่องภัยพิบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด วิตกกังวลได้ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่อันดับที่ 1 : เรื่อง ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวนอันดับที่ 2 : เรื่อง คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนดอันดับที่ 3 : เรื่อง ใบหน้าบวม ปลายจมูกแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าหัวใจกำลั
อ่านต่อ >17
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (7 ธันวาคม 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลจากความร่วมมือบูรณาการหน่วยงานภาครัฐในการแก้ไขปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ โดยกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้ระเบียบกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าไม่มีคุณภาพ ซึ่งโฟกัส 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เกษตร อุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรม พร้อมการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดยิบ ทำยอดนำเข้าลด ยอดจับกุมเพิ่ม พร้อมปรับกฎระเบียบธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศต้องจดนิติบุคคลในไทย จด VAT ด้วยจากนโยบายดังกล่าว ทำให้การนำเข้าสินค้าลดลง โดยก่อนมีมาตรการ ตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.2567 มูลค่านำเข้าเฉลี่ย 3,200 ล้านบาทต่อเดือน แต่หลังจากมีมาตรการ ก.ค.-พ.ย.2567 มูลค่าการนำเข้าลดลงเหลือเฉลี่ย 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือลดลง 20% ส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 ล้าน ตั้งแต่ 5 ก.ค.-21 พ.ย.2567 มีมูลค่า 707 ล้านบาท จับกุมสินค้านำเข้าที่ไม่มีมาตรฐาน มูลค่า 506 ล้านบาท เช่น สินค้าปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า เสื้อ รองเท้า วิตามิน สินค้าเบ็ดเตล็ด รวมถึงสินค้าต้องห้ามบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเดินหน้าปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าในอนาคต โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศจะต้องจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และมีสำนักงานในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้ รวมทั้งผลักดันให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องจด VAT โดยการปรับปรุงประมวลรัษฎากรกำหนดให้แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าในไทยต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรด้วย “การปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ รวมถึงมาตรการต่าง ๆ จะช่วยแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยเหลือ SMEs ให้แข่งขันได้ และดูแลคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันจะผลักดันให้สินค้าไทยมีมาตรฐานสากล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ ระบุภาพจาก รัฐบาลไทย
อ่านต่อ >45
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานบริหารของบริษัท MicroStrategy ได้เข้าไปแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนใน Bitcoin ให้กับคณะกรรมการบริษัทของบริษัท Microsoft เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ภายใต้เงื่อนไขของเวลาการอธิบายเพียง 3 นาที และใช้สไลด์ไปทั้งหมด 44 สไลด์ โดยเขาแนะนำว่าบริษัท Microsoft สามารถเพิ่มมูลค่าตลาดของตนเองได้อย่างมากโดยการนำการถือครอง Bitcoin เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงินโน้มน้าวบริษัท Microsoft ให้ซื้อ Bitcoinไมเคิล เซย์เลอร์ พยายามชี้ให้เห็นว่าหากบริษัท Microsoft ลงทุนซื้อ Bitcoin ปีละ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท และเริ่มใช้งาน Bitcoin เต็มรูปแบบ บริษัทจะสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้เกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 171.2 ล้านล้านบาท และการซื้อ Bitcoin มีเหตุผลมากกว่าการซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากตลาด รวมไปถึงดีกว่าการถือพันธบัตร“Microsoft กำลังซื้อหุ้นคืนและออกพันธบัตร หากพวกเขาเพียงแค่นำเงินสดที่มีอยู่ไปลงทุนใน Bitcoin ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าตลาดของพวกเขาได้เป็นล้านล้านดอลลาร์ และราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นอีก 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,122 บาท นอกจากนี้ การแปลงเงินปันผลเป็น Bitcoin หรือการแทนที่การซื้อคืนด้วยการลงทุนใน Bitcoin อาจช่วยเพิ่มรายได้อีกล้านล้านดอลลาร์และ 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,122 บาท ต่อหุ้น” ไมเคิล เซย์เลอร์ กล่าวเพิ่มเติมแม้ว่าไมเคิล เซย์เลอร์ จะยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Microsoft จะให้การยอมรับ Bitcoin ในทันที แต่เขามองเห็นว่าปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งแสดงความสนใจที่จะนำสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin มาใช้เป็นสำรองเชิงยุทธศาสตร์บริษัท MicroStrategy ถือ Bitcoin อยู่เท่าไหร่ ?นับตั้งแต่ปี 2020 ไมเคิล เซย์เลอร์ และบริษัท MicroStrategy ได้ลงทุนใน Bitcoin อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทซื้อสะสมรวมทั้งสิ้น 402,100 BTC ด้วยต้นทุนรวมประมาณ 21,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 747,895 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคา Bitcoin ต่อ 1 BTC อยู่ที่ 103,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,534,700 บาท ทำให้มูลค่ารวม Bitcoin ของบริษัท MicroStrategy พุ่งขึ้นเป็นประมาณ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,284,300 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2024 หุ้นของบริษัท MicroStrategy มูลค่าเพิ่มขึ้น 465.5% สอดคร้องกับมูลค่าของราคา
อ่านต่อ >18
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หากบอกว่าการนั่งทำงานหน้าจอคอมเป็นเวลานานส่งผลเสียต่อร่างกายจนนำไปสู่เทรนการยืนทำงาน แต่การศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยตูร์กู ประเทศฟินแลนด์ พบว่ายืนทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานก็อาจส่งผลเสียต่อหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตได้เช่นกันการวิจัยครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม 156 คน อายุเฉลี่ย 62 ปี โดยทีมวิจัยได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวที่ต้นขาเพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมในช่วงทำงาน เวลาว่าง และวันหยุด รวมถึงวัดความดันโลหิตอัตโนมัติทุกครึ่งชั่วโมงตลอด 24 ชั่วโมง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การนั่งทำงานอยู่กับที่มีความเชื่อมโยงกับการที่ความดันโลหิตช่วงคลายตัว (Diastolic BP) ลดต่ำลง โดยความดันโลหิตนี้คือตัวเลขข้างหลังเครื่องหมายทับ (/) ในค่าความดัน เช่น ค่าความดัน 120/80 ความดันโลหิตช่วงคลายตัวจะเท่ากับ 80 โดยความดันช่วงนี้สำคัญต่อการไหลเวียนโลหิตไปยังหัวใจในทางตรงกันข้าม การยืนทำงานเป็นเวลานานทำให้ความดันโลหิต (Diastolic) สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน เนื่องจากการที่เลือดไหลลงไปกองที่ขา ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายดร.โจอา นอร์ฮา หัวหน้าคณะวิจัย อธิบายว่า การใช้โต๊ะยืนช่วยลดเวลาการนั่งทำงานอยู่กับที่ได้ แต่ไม่ควรยืนนานเกินไป สิ่งสำคัญคือควรเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น เดินหรือพักนั่งเป็นระยะ นอกจากนี้ การออกกำลังกายระหว่างเวลาว่างจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมทั้งยังช่วยให้จัดการกับความเครียดจากงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในระยะยาวที่มาข้อมูล https://newatlas.com/medical/blood-pressure-sedentary-work/
อ่านต่อ >14
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวน” รองลงมาคือเรื่อง “คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนด” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความสับสน เข้าใจผิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้างนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 833,092 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 534 ข้อความสำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 518 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 12 ข้อความ Website จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 192 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 68 เรื่องกระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 103 เรื่องกลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 37 เรื่องกลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 16 เรื่องกลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 14 เรื่องกลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 22 เรื่องนายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงเรื่องภัยพิบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด วิตกกังวลได้ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่อันดับที่ 1 : เรื่อง ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวนอันดับที่ 2 : เรื่อง คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนดอันดับที่ 3 : เรื่อง ใบหน้าบวม ปลายจมูกแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าหัวใจกำลั
อ่านต่อ >17
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (7 ธันวาคม 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลจากความร่วมมือบูรณาการหน่วยงานภาครัฐในการแก้ไขปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ โดยกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้ระเบียบกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าไม่มีคุณภาพ ซึ่งโฟกัส 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เกษตร อุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรม พร้อมการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดยิบ ทำยอดนำเข้าลด ยอดจับกุมเพิ่ม พร้อมปรับกฎระเบียบธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศต้องจดนิติบุคคลในไทย จด VAT ด้วยจากนโยบายดังกล่าว ทำให้การนำเข้าสินค้าลดลง โดยก่อนมีมาตรการ ตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.2567 มูลค่านำเข้าเฉลี่ย 3,200 ล้านบาทต่อเดือน แต่หลังจากมีมาตรการ ก.ค.-พ.ย.2567 มูลค่าการนำเข้าลดลงเหลือเฉลี่ย 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือลดลง 20% ส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 ล้าน ตั้งแต่ 5 ก.ค.-21 พ.ย.2567 มีมูลค่า 707 ล้านบาท จับกุมสินค้านำเข้าที่ไม่มีมาตรฐาน มูลค่า 506 ล้านบาท เช่น สินค้าปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า เสื้อ รองเท้า วิตามิน สินค้าเบ็ดเตล็ด รวมถึงสินค้าต้องห้ามบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเดินหน้าปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าในอนาคต โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศจะต้องจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และมีสำนักงานในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้ รวมทั้งผลักดันให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องจด VAT โดยการปรับปรุงประมวลรัษฎากรกำหนดให้แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าในไทยต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรด้วย “การปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ รวมถึงมาตรการต่าง ๆ จะช่วยแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยเหลือ SMEs ให้แข่งขันได้ และดูแลคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันจะผลักดันให้สินค้าไทยมีมาตรฐานสากล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ ระบุภาพจาก รัฐบาลไทย
อ่านต่อ >45
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานบริหารของบริษัท MicroStrategy ได้เข้าไปแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนใน Bitcoin ให้กับคณะกรรมการบริษัทของบริษัท Microsoft เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ภายใต้เงื่อนไขของเวลาการอธิบายเพียง 3 นาที และใช้สไลด์ไปทั้งหมด 44 สไลด์ โดยเขาแนะนำว่าบริษัท Microsoft สามารถเพิ่มมูลค่าตลาดของตนเองได้อย่างมากโดยการนำการถือครอง Bitcoin เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงินโน้มน้าวบริษัท Microsoft ให้ซื้อ Bitcoinไมเคิล เซย์เลอร์ พยายามชี้ให้เห็นว่าหากบริษัท Microsoft ลงทุนซื้อ Bitcoin ปีละ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท และเริ่มใช้งาน Bitcoin เต็มรูปแบบ บริษัทจะสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้เกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 171.2 ล้านล้านบาท และการซื้อ Bitcoin มีเหตุผลมากกว่าการซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากตลาด รวมไปถึงดีกว่าการถือพันธบัตร“Microsoft กำลังซื้อหุ้นคืนและออกพันธบัตร หากพวกเขาเพียงแค่นำเงินสดที่มีอยู่ไปลงทุนใน Bitcoin ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าตลาดของพวกเขาได้เป็นล้านล้านดอลลาร์ และราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นอีก 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,122 บาท นอกจากนี้ การแปลงเงินปันผลเป็น Bitcoin หรือการแทนที่การซื้อคืนด้วยการลงทุนใน Bitcoin อาจช่วยเพิ่มรายได้อีกล้านล้านดอลลาร์และ 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,122 บาท ต่อหุ้น” ไมเคิล เซย์เลอร์ กล่าวเพิ่มเติมแม้ว่าไมเคิล เซย์เลอร์ จะยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Microsoft จะให้การยอมรับ Bitcoin ในทันที แต่เขามองเห็นว่าปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งแสดงความสนใจที่จะนำสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin มาใช้เป็นสำรองเชิงยุทธศาสตร์บริษัท MicroStrategy ถือ Bitcoin อยู่เท่าไหร่ ?นับตั้งแต่ปี 2020 ไมเคิล เซย์เลอร์ และบริษัท MicroStrategy ได้ลงทุนใน Bitcoin อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทซื้อสะสมรวมทั้งสิ้น 402,100 BTC ด้วยต้นทุนรวมประมาณ 21,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 747,895 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคา Bitcoin ต่อ 1 BTC อยู่ที่ 103,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,534,700 บาท ทำให้มูลค่ารวม Bitcoin ของบริษัท MicroStrategy พุ่งขึ้นเป็นประมาณ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,284,300 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2024 หุ้นของบริษัท MicroStrategy มูลค่าเพิ่มขึ้น 465.5% สอดคร้องกับมูลค่าของราคา
อ่านต่อ >18
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หากบอกว่าการนั่งทำงานหน้าจอคอมเป็นเวลานานส่งผลเสียต่อร่างกายจนนำไปสู่เทรนการยืนทำงาน แต่การศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยตูร์กู ประเทศฟินแลนด์ พบว่ายืนทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานก็อาจส่งผลเสียต่อหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตได้เช่นกันการวิจัยครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม 156 คน อายุเฉลี่ย 62 ปี โดยทีมวิจัยได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวที่ต้นขาเพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมในช่วงทำงาน เวลาว่าง และวันหยุด รวมถึงวัดความดันโลหิตอัตโนมัติทุกครึ่งชั่วโมงตลอด 24 ชั่วโมง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การนั่งทำงานอยู่กับที่มีความเชื่อมโยงกับการที่ความดันโลหิตช่วงคลายตัว (Diastolic BP) ลดต่ำลง โดยความดันโลหิตนี้คือตัวเลขข้างหลังเครื่องหมายทับ (/) ในค่าความดัน เช่น ค่าความดัน 120/80 ความดันโลหิตช่วงคลายตัวจะเท่ากับ 80 โดยความดันช่วงนี้สำคัญต่อการไหลเวียนโลหิตไปยังหัวใจในทางตรงกันข้าม การยืนทำงานเป็นเวลานานทำให้ความดันโลหิต (Diastolic) สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน เนื่องจากการที่เลือดไหลลงไปกองที่ขา ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายดร.โจอา นอร์ฮา หัวหน้าคณะวิจัย อธิบายว่า การใช้โต๊ะยืนช่วยลดเวลาการนั่งทำงานอยู่กับที่ได้ แต่ไม่ควรยืนนานเกินไป สิ่งสำคัญคือควรเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น เดินหรือพักนั่งเป็นระยะ นอกจากนี้ การออกกำลังกายระหว่างเวลาว่างจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมทั้งยังช่วยให้จัดการกับความเครียดจากงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในระยะยาวที่มาข้อมูล https://newatlas.com/medical/blood-pressure-sedentary-work/
อ่านต่อ >14
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวน” รองลงมาคือเรื่อง “คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนด” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความสับสน เข้าใจผิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้างนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 833,092 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 534 ข้อความสำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 518 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 12 ข้อความ Website จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 192 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 68 เรื่องกระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 103 เรื่องกลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 37 เรื่องกลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 16 เรื่องกลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 14 เรื่องกลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 22 เรื่องนายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงเรื่องภัยพิบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด วิตกกังวลได้ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่อันดับที่ 1 : เรื่อง ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวนอันดับที่ 2 : เรื่อง คิงเพาเวอร์ประกาศปิดทุกสาขาอย่างไม่มีกำหนดอันดับที่ 3 : เรื่อง ใบหน้าบวม ปลายจมูกแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าหัวใจกำลั
อ่านต่อ >17