
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกแถลงการณ์เตือนประชาชนให้ระมัดระวังต่อข่าวปลอมที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็น “ไทยจะยึดประเทศกัมพูชา หากกัมพูชาไม่ถอนกำลัง” และ “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุดในรอบสัปดาห์ผลการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 13 – 19 มิถุนายน 2568 พบว่ามีข้อความเข้าแจ้งเบาะแสรวมทั้งสิ้น 849,898 ข้อความ โดยคัดกรองเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง 509 ข้อความ และแบ่งเป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม 149 เรื่อง กลุ่มข่าวปลอมที่ถูกเฝ้าระวังมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาลและความมั่นคงภายใน 97 เรื่อง ขณะที่ข่าวด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาชญากรรมออนไลน์อยู่ในอันดับรองลงมา ส่วนกลุ่มภัยพิบัติไม่มีรายงานข่าวปลอมในช่วงเวลาดังกล่าวกรณีข่าว “ไทยจะยึดกัมพูชา” กระทรวงดีอีได้ประสานงานกับกองทัพอากาศ เพื่อตรวจสอบความจริง พบว่าเนื้อหาในคลิปที่ถูกตัดต่อไม่เกี่ยวข้องกับบริบทของคำพูดต้นฉบับแต่อย่างใด โดยคลิปดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานแถลงข่าวการจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพไทย แต่ไม่มีเจตนาและไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ข่าวลวงที่ระบุว่า “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ก็ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พบว่าเป็นข้อมูลเท็จเช่นเดียวกัน ไม่มีแผนปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และไม่มีนโยบายจากฝ่ายความมั่นคงที่สอดคล้องกับข่าวดังกล่าวกระทรวงดีอีเน้นย้ำว่า การเผยแพร่ข่าวปลอมประเภทนี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในสังคม แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในระดับภูมิภาค จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข่าวสาร และตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนการแชร์หรือส่งต่อทั้งนี้ หากพบเบาะแสข่าวปลอมสามารถแจ้งผ่านช่องทาง Social Listening, Line Official ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือผ่านทาง Facebook เพจทางการ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีการรับแจ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อ่านต่อ >17

#ข่าวการเมือง #TNN ช่อง16
นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากกระแสข่าวลือที่ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจตอบรับข้อเสนอจากพรรคการเมืองบางพรรค ด้วยการลาออกหรือยุบสภาหลังผ่านการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระที่สามนั้น ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ขอเรียนชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับพวกเราชัดเจนว่า จะเดินหน้าทำหน้าที่แก้ไขวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในมิติการทูตและด้านความมั่นคง รวมถึงปัญหาวิกฤตภาษีทรัมป์ ที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันการเจรจาอย่างจริงจัง และได้รับการตอบรับอย่างดีจากคู่เจรจา รัฐบาลยังมุ่งมั่นใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จนครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในการผลักดันนโยบายที่วางไว้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ- การเดินหน้านโยบายปราบปรามยาเสพติด- การปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น- มาตรการลดค่าครองชีพ ผ่านโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย- การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการพัฒนาโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่- การสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ (man-made destination) เพื่อเป็นรายได้ใหม่ของประเทศ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ- และมาตรการแก้ไขหนี้สินของประชาชน ที่กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม- รวมถึงการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม เพื่อสร้างกติกาทางประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ยึดโยงกับประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภารกิจทางการเมืองสำคัญที่ต้องการเสถียรภาพและการต่อเนื่องของรัฐบาลในการขับเคลื่อน “ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าทำงานต่อไป ไม่ลาออก และไม่ยุบสภา เพราะเป้าหมายของเราคือการเร่งแก้ปัญหาให้จบ และผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง เราเชื่อว่าความต่อเนื่องในการบริหารประเทศเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังจนถึงวันสุดท้ายของวาระรัฐบาล”“จึงขอวิงวอนผู้ที่เผยแพร่ข่าวลักษณะดังกล่าว โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก อย่าให้เรื่องทางการเมืองมาบดบังเป้าหมายสำคัญนี้ เพราะรัฐบาลนี้ได้รับอำนาจมาจากประชาชน เราเป็นตัวแทนของพวกเขา และมีหน้าที่ต้องทำงาน แก้ปัญหาให้พวกเขาจนหมดวาระที่ป
อ่านต่อ >23

#ข่าวการเมือง #TNN ช่อง16
21 มิถุนายน 2568 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พรรคร่วมรัฐบาลเดิมทุกพรรค ยกเว้นพรรคภูมิใจไทย พร้อมสนับสนุนและเดินหน้าทำงานต่อกับรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ประเทศไทยต้องไปต่อ เพราะวิกฤตของประเทศรอไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง ประเทศชาติจะขาดรัฐบาลไม่ได้ การที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป ไม่ใช่ปัญหา เชื่อว่านายกรัฐมนตรี จะสามารถจัดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อย่างดี ได้มืออาชีพ ที่จะมาเร่งสร้างผลงานในทุกมิติในช่วงเวลา 2 ปีที่เหลือของรัฐบาล นายอนุสรณ์ กล่าวว่า มองในมุมบวก การออกไปของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย อาจทดแทนด้วยการได้รัฐมนตรีใหม่ ได้วิธีคิด วิธีทำ วิธีบริหารแบบใหม่ และเชื่อว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะเร่งเครื่องสร้างและยกระดับผลงานของรัฐบาล ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 2570 ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่น รัฐบาลจะมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลมากหรือน้อย ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการเดินหน้าทำงาน แต่ปัจจัยสำคัญกว่านั้นคือ คุณภาพต้องอยู่เหนือปริมาณ ไม่ว่าเสียงพรรคร่วมรัฐบาลจะมากหรือน้อยก็ต้องสามารถยกระดับและเร่งสร้างผลงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้ จำนวนเสียงพรรคร่วมเดิมจากพรรคภูมิใจไทยที่ออกไป จะสามารถทดแทนด้วยการยกระดับผลงาน เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต “รัฐบาลน.ส.แพทองธาร พรรคเพื่อไทย พร้อมเดินหน้าทำงานต่อ โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่น พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีเอกภาพ ในการทำงาน จะเร่งยกระดับสร้างผลงานเพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต” นายอนุสรณ์ กล่าวอ่านข่าวที่เกี่ยวข้องนายกฯ ย้ำชีวิตและความปลอดภัยประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชาสำคัญที่สุดโพลเผยประชาชนเห็นด้วย ใช้แนวทางสันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งไทย-กัมพูชานายกฯ เรียกฝ่ายความมั่นคง หารือด่วนสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
อ่านต่อ >10

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
การเมืองไม่เคยไร้ผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นสถานะถาวรช่วงกลางปี 2568 ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่คำว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากอีกครั้ง เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล เสียงข้างมากในสภากลายเป็นเสียงปริ่มน้ำ แรงกระเพื่อมที่ตามมานั้นไม่ใช่แค่ในรัฐสภา แต่กระทบถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ค่าเงินบาทในตลาดโลก และความสามารถในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยในยามที่ต้องเร่งวิ่งไล่จีดีพี นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CIMB Thai Research ระบุว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน 3 ด้านชัดเจน ได้แก่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่เริ่มลดลงความล่าช้าในการใช้งบประมาณประจำปีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐและจีนภายใต้บริบทเช่นนี้ เราสามารถจำลอง "4 ฉากทัศน์การเมือง" ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแต่ละทางเลือกฉากทัศน์ที่ 1: รัฐบาลรอด แต่เปราะบาง“รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เดินไปแบบสะดุดทุกขั้น”หากพรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบและประคองเสียงในสภาได้แบบหวุดหวิด รัฐบาลอาจยังบริหารประเทศต่อไปได้ แต่จะเผชิญกับแรงต้านมหาศาลทั้งในและนอกสภา การผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 จะต้องแลกด้วยดีลทางการเมืองซับซ้อน และกระตุ้นภาพลักษณ์ "แลกอำนาจกับผลประโยชน์"ผลกระทบทางเศรษฐกิจความเชื่อมั่นลดลงชัดเจน ทั้งในระดับภาคเอกชนและต่างประเทศความเสี่ยงจากการจัดตั้งงบประมาณล่าช้า ทำให้โครงการลงทุนรัฐไม่ขยับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจต่ำกว่าเป้า 2.5% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ในปีนี้ฉากทัศน์ที่ 2: เปลี่ยนนายกฯ ยกเครื่องทีมใหม่“เพื่อรักษารัฐบาล แต่เปลี่ยนคนคุมเกม”มีความเป็นไปได้ว่าภายในพรรคร่วมอาจตกลงกันเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเพื่อดึงพรรคที่ถอนตัวกลับเข้ามาใหม่ รักษาเสียงข้างมากในสภา และฟื้นความมั่นใจ แต่ทางเลือกนี้ย่อมต้องจ่ายราคาทางการเมืองมหาศาล เสี่ยงต่อแรงกดดันจากกลุ่มสนับสนุนเดิม และอาจสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมใหม่ผลกระทบทางเศรษฐกิจตลาดอาจตอบรับในเชิงบวกชั่วคราวหากมีภาพความมั่นคงทางการเมืองกลับมาแต่ความเสี่ยงในเชิงสังคม-นโยบายจะสูง เช่น ความขัดแย้งจากฐานเสียงเดิมความต่อเนื่องของนโยบายอาจหยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ฉากทัศน์ที่ 3: ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน“เริ่มใหม่อีกครั้ง กลางความเส
อ่านต่อ >15

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกแถลงการณ์เตือนประชาชนให้ระมัดระวังต่อข่าวปลอมที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็น “ไทยจะยึดประเทศกัมพูชา หากกัมพูชาไม่ถอนกำลัง” และ “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุดในรอบสัปดาห์ผลการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 13 – 19 มิถุนายน 2568 พบว่ามีข้อความเข้าแจ้งเบาะแสรวมทั้งสิ้น 849,898 ข้อความ โดยคัดกรองเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง 509 ข้อความ และแบ่งเป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม 149 เรื่อง กลุ่มข่าวปลอมที่ถูกเฝ้าระวังมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาลและความมั่นคงภายใน 97 เรื่อง ขณะที่ข่าวด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาชญากรรมออนไลน์อยู่ในอันดับรองลงมา ส่วนกลุ่มภัยพิบัติไม่มีรายงานข่าวปลอมในช่วงเวลาดังกล่าวกรณีข่าว “ไทยจะยึดกัมพูชา” กระทรวงดีอีได้ประสานงานกับกองทัพอากาศ เพื่อตรวจสอบความจริง พบว่าเนื้อหาในคลิปที่ถูกตัดต่อไม่เกี่ยวข้องกับบริบทของคำพูดต้นฉบับแต่อย่างใด โดยคลิปดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานแถลงข่าวการจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพไทย แต่ไม่มีเจตนาและไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ข่าวลวงที่ระบุว่า “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ก็ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พบว่าเป็นข้อมูลเท็จเช่นเดียวกัน ไม่มีแผนปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และไม่มีนโยบายจากฝ่ายความมั่นคงที่สอดคล้องกับข่าวดังกล่าวกระทรวงดีอีเน้นย้ำว่า การเผยแพร่ข่าวปลอมประเภทนี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในสังคม แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในระดับภูมิภาค จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข่าวสาร และตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนการแชร์หรือส่งต่อทั้งนี้ หากพบเบาะแสข่าวปลอมสามารถแจ้งผ่านช่องทาง Social Listening, Line Official ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือผ่านทาง Facebook เพจทางการ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีการรับแจ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อ่านต่อ >17

#ข่าวการเมือง #TNN ช่อง16
นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากกระแสข่าวลือที่ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจตอบรับข้อเสนอจากพรรคการเมืองบางพรรค ด้วยการลาออกหรือยุบสภาหลังผ่านการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระที่สามนั้น ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ขอเรียนชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับพวกเราชัดเจนว่า จะเดินหน้าทำหน้าที่แก้ไขวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในมิติการทูตและด้านความมั่นคง รวมถึงปัญหาวิกฤตภาษีทรัมป์ ที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันการเจรจาอย่างจริงจัง และได้รับการตอบรับอย่างดีจากคู่เจรจา รัฐบาลยังมุ่งมั่นใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จนครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในการผลักดันนโยบายที่วางไว้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ- การเดินหน้านโยบายปราบปรามยาเสพติด- การปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น- มาตรการลดค่าครองชีพ ผ่านโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย- การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการพัฒนาโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่- การสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ (man-made destination) เพื่อเป็นรายได้ใหม่ของประเทศ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ- และมาตรการแก้ไขหนี้สินของประชาชน ที่กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม- รวมถึงการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม เพื่อสร้างกติกาทางประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ยึดโยงกับประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภารกิจทางการเมืองสำคัญที่ต้องการเสถียรภาพและการต่อเนื่องของรัฐบาลในการขับเคลื่อน “ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าทำงานต่อไป ไม่ลาออก และไม่ยุบสภา เพราะเป้าหมายของเราคือการเร่งแก้ปัญหาให้จบ และผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง เราเชื่อว่าความต่อเนื่องในการบริหารประเทศเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังจนถึงวันสุดท้ายของวาระรัฐบาล”“จึงขอวิงวอนผู้ที่เผยแพร่ข่าวลักษณะดังกล่าว โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก อย่าให้เรื่องทางการเมืองมาบดบังเป้าหมายสำคัญนี้ เพราะรัฐบาลนี้ได้รับอำนาจมาจากประชาชน เราเป็นตัวแทนของพวกเขา และมีหน้าที่ต้องทำงาน แก้ปัญหาให้พวกเขาจนหมดวาระที่ป
อ่านต่อ >23

#ข่าวการเมือง #TNN ช่อง16
21 มิถุนายน 2568 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พรรคร่วมรัฐบาลเดิมทุกพรรค ยกเว้นพรรคภูมิใจไทย พร้อมสนับสนุนและเดินหน้าทำงานต่อกับรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ประเทศไทยต้องไปต่อ เพราะวิกฤตของประเทศรอไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง ประเทศชาติจะขาดรัฐบาลไม่ได้ การที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป ไม่ใช่ปัญหา เชื่อว่านายกรัฐมนตรี จะสามารถจัดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อย่างดี ได้มืออาชีพ ที่จะมาเร่งสร้างผลงานในทุกมิติในช่วงเวลา 2 ปีที่เหลือของรัฐบาล นายอนุสรณ์ กล่าวว่า มองในมุมบวก การออกไปของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย อาจทดแทนด้วยการได้รัฐมนตรีใหม่ ได้วิธีคิด วิธีทำ วิธีบริหารแบบใหม่ และเชื่อว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะเร่งเครื่องสร้างและยกระดับผลงานของรัฐบาล ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 2570 ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่น รัฐบาลจะมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลมากหรือน้อย ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการเดินหน้าทำงาน แต่ปัจจัยสำคัญกว่านั้นคือ คุณภาพต้องอยู่เหนือปริมาณ ไม่ว่าเสียงพรรคร่วมรัฐบาลจะมากหรือน้อยก็ต้องสามารถยกระดับและเร่งสร้างผลงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้ จำนวนเสียงพรรคร่วมเดิมจากพรรคภูมิใจไทยที่ออกไป จะสามารถทดแทนด้วยการยกระดับผลงาน เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต “รัฐบาลน.ส.แพทองธาร พรรคเพื่อไทย พร้อมเดินหน้าทำงานต่อ โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่น พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีเอกภาพ ในการทำงาน จะเร่งยกระดับสร้างผลงานเพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต” นายอนุสรณ์ กล่าวอ่านข่าวที่เกี่ยวข้องนายกฯ ย้ำชีวิตและความปลอดภัยประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชาสำคัญที่สุดโพลเผยประชาชนเห็นด้วย ใช้แนวทางสันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งไทย-กัมพูชานายกฯ เรียกฝ่ายความมั่นคง หารือด่วนสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
อ่านต่อ >10

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
การเมืองไม่เคยไร้ผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นสถานะถาวรช่วงกลางปี 2568 ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่คำว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากอีกครั้ง เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล เสียงข้างมากในสภากลายเป็นเสียงปริ่มน้ำ แรงกระเพื่อมที่ตามมานั้นไม่ใช่แค่ในรัฐสภา แต่กระทบถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ค่าเงินบาทในตลาดโลก และความสามารถในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยในยามที่ต้องเร่งวิ่งไล่จีดีพี นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CIMB Thai Research ระบุว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน 3 ด้านชัดเจน ได้แก่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่เริ่มลดลงความล่าช้าในการใช้งบประมาณประจำปีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐและจีนภายใต้บริบทเช่นนี้ เราสามารถจำลอง "4 ฉากทัศน์การเมือง" ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแต่ละทางเลือกฉากทัศน์ที่ 1: รัฐบาลรอด แต่เปราะบาง“รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เดินไปแบบสะดุดทุกขั้น”หากพรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบและประคองเสียงในสภาได้แบบหวุดหวิด รัฐบาลอาจยังบริหารประเทศต่อไปได้ แต่จะเผชิญกับแรงต้านมหาศาลทั้งในและนอกสภา การผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 จะต้องแลกด้วยดีลทางการเมืองซับซ้อน และกระตุ้นภาพลักษณ์ "แลกอำนาจกับผลประโยชน์"ผลกระทบทางเศรษฐกิจความเชื่อมั่นลดลงชัดเจน ทั้งในระดับภาคเอกชนและต่างประเทศความเสี่ยงจากการจัดตั้งงบประมาณล่าช้า ทำให้โครงการลงทุนรัฐไม่ขยับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจต่ำกว่าเป้า 2.5% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ในปีนี้ฉากทัศน์ที่ 2: เปลี่ยนนายกฯ ยกเครื่องทีมใหม่“เพื่อรักษารัฐบาล แต่เปลี่ยนคนคุมเกม”มีความเป็นไปได้ว่าภายในพรรคร่วมอาจตกลงกันเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเพื่อดึงพรรคที่ถอนตัวกลับเข้ามาใหม่ รักษาเสียงข้างมากในสภา และฟื้นความมั่นใจ แต่ทางเลือกนี้ย่อมต้องจ่ายราคาทางการเมืองมหาศาล เสี่ยงต่อแรงกดดันจากกลุ่มสนับสนุนเดิม และอาจสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมใหม่ผลกระทบทางเศรษฐกิจตลาดอาจตอบรับในเชิงบวกชั่วคราวหากมีภาพความมั่นคงทางการเมืองกลับมาแต่ความเสี่ยงในเชิงสังคม-นโยบายจะสูง เช่น ความขัดแย้งจากฐานเสียงเดิมความต่อเนื่องของนโยบายอาจหยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ฉากทัศน์ที่ 3: ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน“เริ่มใหม่อีกครั้ง กลางความเส
อ่านต่อ >15

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกแถลงการณ์เตือนประชาชนให้ระมัดระวังต่อข่าวปลอมที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็น “ไทยจะยึดประเทศกัมพูชา หากกัมพูชาไม่ถอนกำลัง” และ “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุดในรอบสัปดาห์ผลการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 13 – 19 มิถุนายน 2568 พบว่ามีข้อความเข้าแจ้งเบาะแสรวมทั้งสิ้น 849,898 ข้อความ โดยคัดกรองเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง 509 ข้อความ และแบ่งเป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม 149 เรื่อง กลุ่มข่าวปลอมที่ถูกเฝ้าระวังมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาลและความมั่นคงภายใน 97 เรื่อง ขณะที่ข่าวด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาชญากรรมออนไลน์อยู่ในอันดับรองลงมา ส่วนกลุ่มภัยพิบัติไม่มีรายงานข่าวปลอมในช่วงเวลาดังกล่าวกรณีข่าว “ไทยจะยึดกัมพูชา” กระทรวงดีอีได้ประสานงานกับกองทัพอากาศ เพื่อตรวจสอบความจริง พบว่าเนื้อหาในคลิปที่ถูกตัดต่อไม่เกี่ยวข้องกับบริบทของคำพูดต้นฉบับแต่อย่างใด โดยคลิปดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานแถลงข่าวการจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพไทย แต่ไม่มีเจตนาและไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ข่าวลวงที่ระบุว่า “ประเทศไทยเตรียมบุกไปกัมพูชาแล้ว” ก็ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พบว่าเป็นข้อมูลเท็จเช่นเดียวกัน ไม่มีแผนปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และไม่มีนโยบายจากฝ่ายความมั่นคงที่สอดคล้องกับข่าวดังกล่าวกระทรวงดีอีเน้นย้ำว่า การเผยแพร่ข่าวปลอมประเภทนี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในสังคม แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในระดับภูมิภาค จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข่าวสาร และตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนการแชร์หรือส่งต่อทั้งนี้ หากพบเบาะแสข่าวปลอมสามารถแจ้งผ่านช่องทาง Social Listening, Line Official ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือผ่านทาง Facebook เพจทางการ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีการรับแจ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อ่านต่อ >17