
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายชีพ น้อมเศียร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ขณะเข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568กรมฯ ในฐานะกำกับดูแลรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนทั่วประเทศ จึงเตรียมความพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนในพื้นที่รับผิดชอบทั่วประเทศ เพื่อรองรับช่วงเปิดเทอม สร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครองในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมโดยกรมฯ ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถโรงเรียน เช่น รถตู้ หรือรถสองแถว ซึ่งจะต้องได้รับหนังสืออนุญาตใช้รถจากกรมการขนส่งทางบก และโรงเรียนหรือสถานศึกษาในพื้นที่ รถดังกล่าวที่เข้ามาต้องผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดจากกรมฯ เช่น ตัวรถ ต้องมีป้ายแสดงคำว่า รถโรงเรียน เป็นตัวอักษรสีดำ พื้นสีส้ม ติดที่ด้านหน้าและด้านท้ายของรถให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มีไฟสัญญาณสีเหลืองกระพริบติดไว้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวา ที่ด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ เพื่อเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล นอกจากนี้มาตรฐานความปลอดภัยตัวรถ เช่น รถสองแถวที่มีการประตูทางขึ้น – ลงด้านท้าย ต้องมีเครื่องกั้นกันตกสำหรับนักเรียน และถังดับเพลิง กรณีรถตู้ปรับอากาศ การจัดวางที่นั่งต้องเป็นแถวตอนตามความกว้างของรถ มีถังดับเพลิง และมีค้อนทุบกระจกไว้ภายในตัวรถด้าน ผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ หรือใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และมีผู้ควบคุมดูแลนักเรียน ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ประจำอยู่บนรถตลอดเวลาเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ส่วนการตรวจสภาพรถโรงเรียนจะมีการตรวจสภาพรถเหมือนรถยนต์ส่วนบุคคล ถ้ามีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี จะต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศ ก่อนชำระภาษีประจำปีในทุกๆ ปีส่วนกรณีรถสาธารณะอื่นๆ ที่จะนำมาให้บริการนักเรียน เช่น รถโดยสารประจำทาง จะตรวจสภาพรถด้านความปลอดภัยเป็นปกติ ตรวจอุปกรณ์ส่วนควบ ประตูฉุกเฉิน ทางออกฉุกเฉิน และเข็มขัดนิรภัย ส่วนใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้นักเรียนสวมหมวกกันน็อกขณะใช้บริการ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองที่ขับรถรับ – ส่ง บุตรหลานไปโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และขับรถอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน
อ่านต่อ >14

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยยืนยันว่า มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ภายใต้กฎหมายปี 2566 เป็นผลดีต่อผู้กู้ทุกคน แต่พบว่ามีผู้กู้จำนวนมากยังไม่เข้ามาดำเนินการ ล่าสุด กยศ. ขยายเวลา “ตัดยอดเดือนพฤษภาคม” จากวันที่ 17 เป็น 24 พฤาภาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ที่ยังไม่ลงทะเบียน รีบเข้าระบบเพื่อขอคืนเงิน และปรับยอดหนี้ก่อนต้องจ่ายเงินเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีลูกหนี้ 260,000 รายที่ยังไม่ลงทะเบียนปรับโครงสร้าง ทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 3,000 บาททุกเดือน หากยังนิ่งเฉยจะต้องจ่ายเพิ่มเรื่อยๆ ทุกเดือน ซึ่งที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการ recal ยอดหนี้ใหม่ให้กับผู้กู้ 3,800,000 นราย พบว่า จำนวน 289,000 ราย ได้เงินคืนรวม 3,399 ล้านบาท ขณะที่ 3,540,000 ราย หนี้ลดลงรวม 46,200 ล้านบาท ไม่มีผู้กู้รายใดที่ยอดหนี้เพิ่มขึ้น แต่ผู้กู้จะได้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อเข้ามาลงทะเบียนยืนยันตัวตนถึงแม้จะมีสิทธิ์ได้เงินคืนหรือหนี้ลดลง แต่กลับพบว่า กลุ่มขอคืนเงิน มีผู้ลงทะเบียนเพียง 26,400 ราย จากทั้งหมด 289,000 ราย กลุ่มปรับโครงสร้างหนี้ มีเพียง 600,000 ราย จาก 3,540,000 บัญชีกรณีผู้กู้ที่ถูกหักเงินเพิ่ม 3,000 บาทในเดือนเมษายน ส่วนใหญ่มีสถานะค้างชำระ และยังไม่เข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีจำนวน 510,000 ราย ขณะนี้มีเพียง 200,000 รายที่เข้าระบบ และอีก 42,000 รายปิดบัญชีไปแล้ว ยังเหลืออีก 260,000 รายที่ยังไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่แค่ลงทะเบียนก็จะช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แถมบางรายได้เงินคืน หรือหนี้ลดลงกว่าครึ่ง ตัวอย่างผู้กู้รายหนึ่งที่หนี้เดิม 279,000 บาท ต้องจ่ายรายเดือน 1,620 บาท และถูกหักเพิ่ม 3,000 บาท รวมเป็น 4,620 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเข้าปรับโครงสร้าง หนี้เหลือ 84,900 บาท จ่ายต่อเดือนเพียง 480 บาท และไม่ต้องถูกหักเพิ่มอีกทั้งนี้ ขอให้ลูกหนี้รีบใช้โอกาสนี้ลงทะเบียนก่อนวันที่ 24 พฤษภาคม จะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น และได้ประโยชน์เต็มที่จากนโยบายใหม่ของ กยศ. ขณะที่ กยศ. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกช่องทางต่อไปข่าวที่เกี่ยวข้อง- ถูกหักเงิน กยศ. 3,000 บาท ต้องทำอย่างไร? เช็กเงื่อนไข ปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระผ่อน- กยศ. เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ ปรับโครงสร้างหนี้ - ลดการหักเงินเดือน
อ่านต่อ >14

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม สั่งการให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เตรียมพร้อมมาตรการและประชาสัมพันธ์มาตรการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมควัน หรือวัตถุอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลบุญบั้งไฟของท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป มีการแข่งขันความสูงของบั้งไฟ ทำให้มีความสูงเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก และเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่ออากาศยาน รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นายคารม กล่าวว่า เทศกาลบุญบั้งไฟประจำปี 2568 รัฐบาลได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยที่ได้กำหนดไว้ในคู่มือการดำเนินงานสนามบิน เพื่อให้ผู้ขออนุญาตจุดบั้งไฟเกิดความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติ งดจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมควัน หรือวัตถุอื่นที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศในพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศและพื้นที่เสี่ยงตามแนวขึ้น - ลงของเครื่องบิน และบริเวณโดยรอบท่าอากาศยาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับอากาศยาน และการมองเห็นของนักบินในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศนาคารมกล่าวต่อว่า ผู้ใดจะทำการจุดบั้งไฟต้องทำหนังสือขออนุญาตการขอจุดบั้งไฟกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประจำตำบล อำเภอ หรือจังหวัด จากนั้น ให้เจ้าหน้าที่แจ้งหนังสือขออนุญาตการจุดให้ท่าอากาศยานใกล้เคียงทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 - 15 วันทำการ โดยระบุชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อผู้ประสานงานการจุดบั้งไฟอย่างน้อย 2 คน พร้อมพิกัดการปล่อยบั้งไฟอย่างละเอียดโดยระบุ ละติจูด ลองจิจูด เพื่อนำไปประกอบการออกประกาศแจ้งเตือนนักบิน รวมถึงเฝ้าติดตามการติดต่อจากศูนย์ควบคุมการบินตลอดเวลาที่จุดและปล่อยบั้งไฟ “หากฝ่าฝืนมีบทลงโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการทำให้อากาศยานในระหว่างบริการเสียหายจนไม่สามารถทำการบินได้ หรืออาจเกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างบิน ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 800,000 บาท ตามมาตราที่ 59/1 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497” นายคารม ระบุ
อ่านต่อ >16

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
ความสวยงามของโลกใต้ท้องทะเล ที่มีประชากรสัตว์น้ำทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงทรัพยากรสัตว์น้ำ บริเวณระหว่างเกาะบิดะนอก และเกาะบิดาใน หน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพีเล ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี บริเวณนี้ถือเป็นแหล่งดำน้ำยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ชื่นชอบการดำน้ำลึกตั้งแต่ 5-30 เมตร โดยทัศนวิสัยใต้น้ำอยู่ระหว่าง 2-22 เมตร สามารถดำได้ทั้งแบบแนวกำแพงและแนวปะการังได้ตลอดทั้งปี โดยช่วงที่เหมาะสมในการดำน้ำที่ดีที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี นายแสงสุรี ซองทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี เผยว่า การดำน้ำสำรวจครั้งนี้ นักดำน้ำทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยพบเห็นประชากรสัตว์น้ำมากมายเช่นนี้มาก่อน นับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ปีนี้ได้พบเห็นทรัพยากรสัตว์น้ำที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ บริเวณเรือเกร็ดแก้ว ไม่ว่าจะเป็น ฉลามเสือดาว ฉลามหูดำ ฉลามวาฬ ปลาไหลมอเรย์ ม้าน้ำ ทากทะเล ปลาแมงป่อง ปลานู้ดี้ เต่าทะเล ฝูงปลาสาก ฝูงปลากะพงตาโต ปะการังหลากหลายชนิด และกัลป์ละปังหา เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้พบสัตว์น้ำหายากและใกล้จะสูญพันธุ์จำนวนมาก เนื่องมาจากปีนี้สภาพภูมิอากาศในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ทั้งบนบกและในทะเล โดยเฉพาะใต้ท้องทะเลฝั่งอันดามัน ไม่ร้อนจัดเหมือนกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้สัตว์น้ำมีการขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีความเจริญเติบโตดีอีกด้วย
อ่านต่อ >11

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายชีพ น้อมเศียร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ขณะเข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568กรมฯ ในฐานะกำกับดูแลรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนทั่วประเทศ จึงเตรียมความพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนในพื้นที่รับผิดชอบทั่วประเทศ เพื่อรองรับช่วงเปิดเทอม สร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครองในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมโดยกรมฯ ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถโรงเรียน เช่น รถตู้ หรือรถสองแถว ซึ่งจะต้องได้รับหนังสืออนุญาตใช้รถจากกรมการขนส่งทางบก และโรงเรียนหรือสถานศึกษาในพื้นที่ รถดังกล่าวที่เข้ามาต้องผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดจากกรมฯ เช่น ตัวรถ ต้องมีป้ายแสดงคำว่า รถโรงเรียน เป็นตัวอักษรสีดำ พื้นสีส้ม ติดที่ด้านหน้าและด้านท้ายของรถให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มีไฟสัญญาณสีเหลืองกระพริบติดไว้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวา ที่ด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ เพื่อเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล นอกจากนี้มาตรฐานความปลอดภัยตัวรถ เช่น รถสองแถวที่มีการประตูทางขึ้น – ลงด้านท้าย ต้องมีเครื่องกั้นกันตกสำหรับนักเรียน และถังดับเพลิง กรณีรถตู้ปรับอากาศ การจัดวางที่นั่งต้องเป็นแถวตอนตามความกว้างของรถ มีถังดับเพลิง และมีค้อนทุบกระจกไว้ภายในตัวรถด้าน ผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ หรือใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และมีผู้ควบคุมดูแลนักเรียน ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ประจำอยู่บนรถตลอดเวลาเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ส่วนการตรวจสภาพรถโรงเรียนจะมีการตรวจสภาพรถเหมือนรถยนต์ส่วนบุคคล ถ้ามีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี จะต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศ ก่อนชำระภาษีประจำปีในทุกๆ ปีส่วนกรณีรถสาธารณะอื่นๆ ที่จะนำมาให้บริการนักเรียน เช่น รถโดยสารประจำทาง จะตรวจสภาพรถด้านความปลอดภัยเป็นปกติ ตรวจอุปกรณ์ส่วนควบ ประตูฉุกเฉิน ทางออกฉุกเฉิน และเข็มขัดนิรภัย ส่วนใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้นักเรียนสวมหมวกกันน็อกขณะใช้บริการ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองที่ขับรถรับ – ส่ง บุตรหลานไปโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และขับรถอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน
อ่านต่อ >14

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยยืนยันว่า มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ภายใต้กฎหมายปี 2566 เป็นผลดีต่อผู้กู้ทุกคน แต่พบว่ามีผู้กู้จำนวนมากยังไม่เข้ามาดำเนินการ ล่าสุด กยศ. ขยายเวลา “ตัดยอดเดือนพฤษภาคม” จากวันที่ 17 เป็น 24 พฤาภาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ที่ยังไม่ลงทะเบียน รีบเข้าระบบเพื่อขอคืนเงิน และปรับยอดหนี้ก่อนต้องจ่ายเงินเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีลูกหนี้ 260,000 รายที่ยังไม่ลงทะเบียนปรับโครงสร้าง ทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 3,000 บาททุกเดือน หากยังนิ่งเฉยจะต้องจ่ายเพิ่มเรื่อยๆ ทุกเดือน ซึ่งที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการ recal ยอดหนี้ใหม่ให้กับผู้กู้ 3,800,000 นราย พบว่า จำนวน 289,000 ราย ได้เงินคืนรวม 3,399 ล้านบาท ขณะที่ 3,540,000 ราย หนี้ลดลงรวม 46,200 ล้านบาท ไม่มีผู้กู้รายใดที่ยอดหนี้เพิ่มขึ้น แต่ผู้กู้จะได้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อเข้ามาลงทะเบียนยืนยันตัวตนถึงแม้จะมีสิทธิ์ได้เงินคืนหรือหนี้ลดลง แต่กลับพบว่า กลุ่มขอคืนเงิน มีผู้ลงทะเบียนเพียง 26,400 ราย จากทั้งหมด 289,000 ราย กลุ่มปรับโครงสร้างหนี้ มีเพียง 600,000 ราย จาก 3,540,000 บัญชีกรณีผู้กู้ที่ถูกหักเงินเพิ่ม 3,000 บาทในเดือนเมษายน ส่วนใหญ่มีสถานะค้างชำระ และยังไม่เข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีจำนวน 510,000 ราย ขณะนี้มีเพียง 200,000 รายที่เข้าระบบ และอีก 42,000 รายปิดบัญชีไปแล้ว ยังเหลืออีก 260,000 รายที่ยังไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่แค่ลงทะเบียนก็จะช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แถมบางรายได้เงินคืน หรือหนี้ลดลงกว่าครึ่ง ตัวอย่างผู้กู้รายหนึ่งที่หนี้เดิม 279,000 บาท ต้องจ่ายรายเดือน 1,620 บาท และถูกหักเพิ่ม 3,000 บาท รวมเป็น 4,620 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเข้าปรับโครงสร้าง หนี้เหลือ 84,900 บาท จ่ายต่อเดือนเพียง 480 บาท และไม่ต้องถูกหักเพิ่มอีกทั้งนี้ ขอให้ลูกหนี้รีบใช้โอกาสนี้ลงทะเบียนก่อนวันที่ 24 พฤษภาคม จะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น และได้ประโยชน์เต็มที่จากนโยบายใหม่ของ กยศ. ขณะที่ กยศ. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกช่องทางต่อไปข่าวที่เกี่ยวข้อง- ถูกหักเงิน กยศ. 3,000 บาท ต้องทำอย่างไร? เช็กเงื่อนไข ปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระผ่อน- กยศ. เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ ปรับโครงสร้างหนี้ - ลดการหักเงินเดือน
อ่านต่อ >14

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม สั่งการให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เตรียมพร้อมมาตรการและประชาสัมพันธ์มาตรการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมควัน หรือวัตถุอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลบุญบั้งไฟของท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป มีการแข่งขันความสูงของบั้งไฟ ทำให้มีความสูงเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก และเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่ออากาศยาน รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นายคารม กล่าวว่า เทศกาลบุญบั้งไฟประจำปี 2568 รัฐบาลได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยที่ได้กำหนดไว้ในคู่มือการดำเนินงานสนามบิน เพื่อให้ผู้ขออนุญาตจุดบั้งไฟเกิดความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติ งดจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมควัน หรือวัตถุอื่นที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศในพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศและพื้นที่เสี่ยงตามแนวขึ้น - ลงของเครื่องบิน และบริเวณโดยรอบท่าอากาศยาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับอากาศยาน และการมองเห็นของนักบินในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศนาคารมกล่าวต่อว่า ผู้ใดจะทำการจุดบั้งไฟต้องทำหนังสือขออนุญาตการขอจุดบั้งไฟกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประจำตำบล อำเภอ หรือจังหวัด จากนั้น ให้เจ้าหน้าที่แจ้งหนังสือขออนุญาตการจุดให้ท่าอากาศยานใกล้เคียงทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 - 15 วันทำการ โดยระบุชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อผู้ประสานงานการจุดบั้งไฟอย่างน้อย 2 คน พร้อมพิกัดการปล่อยบั้งไฟอย่างละเอียดโดยระบุ ละติจูด ลองจิจูด เพื่อนำไปประกอบการออกประกาศแจ้งเตือนนักบิน รวมถึงเฝ้าติดตามการติดต่อจากศูนย์ควบคุมการบินตลอดเวลาที่จุดและปล่อยบั้งไฟ “หากฝ่าฝืนมีบทลงโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการทำให้อากาศยานในระหว่างบริการเสียหายจนไม่สามารถทำการบินได้ หรืออาจเกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างบิน ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 800,000 บาท ตามมาตราที่ 59/1 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497” นายคารม ระบุ
อ่านต่อ >16

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
ความสวยงามของโลกใต้ท้องทะเล ที่มีประชากรสัตว์น้ำทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงทรัพยากรสัตว์น้ำ บริเวณระหว่างเกาะบิดะนอก และเกาะบิดาใน หน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพีเล ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี บริเวณนี้ถือเป็นแหล่งดำน้ำยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ชื่นชอบการดำน้ำลึกตั้งแต่ 5-30 เมตร โดยทัศนวิสัยใต้น้ำอยู่ระหว่าง 2-22 เมตร สามารถดำได้ทั้งแบบแนวกำแพงและแนวปะการังได้ตลอดทั้งปี โดยช่วงที่เหมาะสมในการดำน้ำที่ดีที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี นายแสงสุรี ซองทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี เผยว่า การดำน้ำสำรวจครั้งนี้ นักดำน้ำทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยพบเห็นประชากรสัตว์น้ำมากมายเช่นนี้มาก่อน นับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ปีนี้ได้พบเห็นทรัพยากรสัตว์น้ำที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ บริเวณเรือเกร็ดแก้ว ไม่ว่าจะเป็น ฉลามเสือดาว ฉลามหูดำ ฉลามวาฬ ปลาไหลมอเรย์ ม้าน้ำ ทากทะเล ปลาแมงป่อง ปลานู้ดี้ เต่าทะเล ฝูงปลาสาก ฝูงปลากะพงตาโต ปะการังหลากหลายชนิด และกัลป์ละปังหา เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้พบสัตว์น้ำหายากและใกล้จะสูญพันธุ์จำนวนมาก เนื่องมาจากปีนี้สภาพภูมิอากาศในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ทั้งบนบกและในทะเล โดยเฉพาะใต้ท้องทะเลฝั่งอันดามัน ไม่ร้อนจัดเหมือนกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้สัตว์น้ำมีการขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีความเจริญเติบโตดีอีกด้วย
อ่านต่อ >11

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายชีพ น้อมเศียร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ขณะเข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568กรมฯ ในฐานะกำกับดูแลรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนทั่วประเทศ จึงเตรียมความพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกรถโรงเรียนและรถที่รับจ้าง รับ – ส่งนักเรียนในพื้นที่รับผิดชอบทั่วประเทศ เพื่อรองรับช่วงเปิดเทอม สร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครองในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมโดยกรมฯ ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถโรงเรียน เช่น รถตู้ หรือรถสองแถว ซึ่งจะต้องได้รับหนังสืออนุญาตใช้รถจากกรมการขนส่งทางบก และโรงเรียนหรือสถานศึกษาในพื้นที่ รถดังกล่าวที่เข้ามาต้องผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดจากกรมฯ เช่น ตัวรถ ต้องมีป้ายแสดงคำว่า รถโรงเรียน เป็นตัวอักษรสีดำ พื้นสีส้ม ติดที่ด้านหน้าและด้านท้ายของรถให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มีไฟสัญญาณสีเหลืองกระพริบติดไว้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวา ที่ด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ เพื่อเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล นอกจากนี้มาตรฐานความปลอดภัยตัวรถ เช่น รถสองแถวที่มีการประตูทางขึ้น – ลงด้านท้าย ต้องมีเครื่องกั้นกันตกสำหรับนักเรียน และถังดับเพลิง กรณีรถตู้ปรับอากาศ การจัดวางที่นั่งต้องเป็นแถวตอนตามความกว้างของรถ มีถังดับเพลิง และมีค้อนทุบกระจกไว้ภายในตัวรถด้าน ผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ หรือใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และมีผู้ควบคุมดูแลนักเรียน ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ประจำอยู่บนรถตลอดเวลาเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ส่วนการตรวจสภาพรถโรงเรียนจะมีการตรวจสภาพรถเหมือนรถยนต์ส่วนบุคคล ถ้ามีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี จะต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศ ก่อนชำระภาษีประจำปีในทุกๆ ปีส่วนกรณีรถสาธารณะอื่นๆ ที่จะนำมาให้บริการนักเรียน เช่น รถโดยสารประจำทาง จะตรวจสภาพรถด้านความปลอดภัยเป็นปกติ ตรวจอุปกรณ์ส่วนควบ ประตูฉุกเฉิน ทางออกฉุกเฉิน และเข็มขัดนิรภัย ส่วนใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้นักเรียนสวมหมวกกันน็อกขณะใช้บริการ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองที่ขับรถรับ – ส่ง บุตรหลานไปโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และขับรถอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน
อ่านต่อ >14