
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
เช็กค่า "ฝุ่น PM2.5" เช้าวันนี้ในพื้นที่ กทม. เกินมาตรฐาน 59 เขต อยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร สรุปผลการตรวจวัด PM2.5 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)-ตรวจวัดได้ 33.3-67.1 มคก./ลบ.ม.-ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 45.2 มคก./ลบ.ม.-ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 59 พื้นที่ทั้งนี้ ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ในช่วง 33.4-67.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวานในช่วงเวลาเดียวกัน และพบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 59 พื้นที่ ได้แก่1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 67.1 มคก./ลบ.ม.2.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 59.1 มคก./ลบ.ม.3.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 58.5 มคก./ลบ.ม.4.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 57.6 มคก./ลบ.ม.5.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 56.5 มคก./ลบ.ม.6.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 55.9 มคก./ลบ.ม.7.เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ : มีค่าเท่ากับ 55.8 มคก./ลบ.ม.8.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 54.1 มคก./ลบ.ม.9.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 54.0 มคก./ลบ.ม.10.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 52.6 มคก./ลบ.ม.11.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.12.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 51.4 มคก./ลบ.ม.13.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 51.3 มคก./ลบ.ม.14.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 50.7 มคก./ลบ.ม.15.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 50.6 มคก./ลบ.ม.16.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 50.5 มคก./ลบ.ม.17.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 49.4 มคก./ลบ.ม.18.เขตบาง
อ่านต่อ >25

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กรมการจัดหางาน ย้ำ มีตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศกว่า 8 หมื่นอัตรา รองรับแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลนายสมชาย มรกตศรีวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว แรงงานไทยที่กลับจากอิสราเอลยังไม่มีงานและไม่มีเงิน อยากกลับไปทำงานประเทศอิสราเอลแต่กระทรวงแรงงานยังไม่อนุญาต นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้เตรียมมาตรการดูแลแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว จำนวน 9,497 คน โดยผลการสำรวจความต้องการแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาพบว่า มีแรงงานต้องการกลับไปทำงานประเทศอิสราเอล จำนวน 4,442 คน ไม่ต้องการกลับไปทำงาน 3,979 คน และยังไม่แน่ใจ 79 คน ซึ่งกรมฯได้เตรียมตำแหน่งงานในประเทศ จำนวน 81,909 อัตรา ซึ่งแม้จะไม่สามารถสร้างรายได้สูงเช่นงานในประเทศอิสราเอล แต่ทดแทนด้วยการได้ใกล้ชิดครอบครัว รวมทั้งมีงานในต่างประเทศรองรับ อาทิ ไต้หวัน สาธารณรัฐโปรตุเกส กรีซ และสาธารณรัฐเกาหลี นอกจากนี้กรมฯ ยังได้เตรียมอาชีพอิสระที่น่าสนใจ ทำง่าย รายได้ดี เหมาะสมกับความต้องการของแรงงานในแต่ละพื้นที่ โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดลงพื้นที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ การรับงานไปทำที่บ้าน และแนะนำแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมายจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านมีดอกเบี้ยต่ำให้กับแรงงานไทยที่ไม่ต้องการทำงานประจำหรือต้องการเริ่มต้นกิจการของตนเองด้วยในส่วนแรงงานที่ต้องการกลับไปทำงานที่รัฐอิสราเอล กรมการจัดหางานเข้าใจและไม่ได้นิ่งนอนใจ อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยในรัฐอิสราเอล เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานไทยจะสามารถกลับไปทำงานได้อย่างปลอดภัย ในระหว่างนี้ขอความร่วมมือแรงงานไทยไม่ลักลอบไปทำงาน และสำหรับแรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และเดินทางกลับจากอิสราเอลด้วยสถานการณ์สงคราม ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2566 กรมการจัดหางานได้ให้การเยียวยาตามสิทธิแล้ว จำนวน 9,218 ราย รวมเป็นเงิน จำนวน 139,270,000 บาททั้งนี้ แรงงานที่ต้องการหางานทำสามารถสมัครงานผ่านเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือ Mobile Application "ไทยมีงานทำ" หรือใช้บริการที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือติดตามประกาศรับสมัครงานในต่างประเทศได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่
อ่านต่อ >18

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
จากกรณีที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 โดยให้ใช้บริการฟรีจนถึง วันที่ 3 มกราคม 2567 จากนั้นจะเก็บค่าโดยสารราคา 15 - 45 บาท วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) สภาผู้บริโภคจึงจัดเวทีเสวนา "รถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสายทำได้ เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและประชาชน" เพื่อเสนอทางออกในการกำหนดราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม โดยมีนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม รองศาสตราจารย์สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค รวมถึงเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร ในฐานะตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เข้าร่วมเวทีด้วยนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค นำเสนอผลการสำรวจเบื้องต้นการสัญจรของผู้บริโภคในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จากการสอบถามผู้ใช้บริการกว่า 2,500 ราย ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.2566 -29 พ.ย.2566 พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 69.8 มีความเห็นว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการตอบโจทย์ต่อการใช้งานและการเดินทางของทุก ๆ คนเมื่อถามว่าราคาค่าโดยสารสายสีชมพูที่รัฐบาลกำหนดไว้ 15 - 45 บาทแพงหรือไม่ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 55 ตอบว่าแพงมาก หากเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย ทั้งนี้ผู้โดยสารเห็นว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสายไม่ควรเกิน 27 บาท นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่าร้อยละ 91 ต้องการให้รัฐบาลกำหนดราคาค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีชมพูเก็บค่าโดยสารไม่เกิน 20 บาทเหมือนกับสายสีม่วงและสีแดง “ผู้ตอบแบบสอบถามอยากได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพู 20 บาท เนื่องจากขณะนี้ให้นั่งฟรีถึงวันที่ 3 ม.ค. 2567 เท่านั้นเองและหลังจากนั้นต้องจ่ายราคา 15 - 45 บาท ซึ่งอยากให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาในส่วนนี้” นายคงศักดิ์ระบุทางด้านเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง สีม่วง สีชมพู สีเหลืองและสีน้ำเงิน ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราคารถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ โดยทุกคนต่างเห็นด้วยและสนับสนุนให้มีราคาค่าโดยสาร 20 บาทตลอด นอกจากนี้ยังต้องการให้ผลักดันการใช้ตั๋วร่วมเนื่องจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและ
อ่านต่อ >28

#โควิด-19 #TNN ช่อง16
กระทรวงสาธารณสุข เผย โควิด-19 มีแนวโน้มระบาดเพิ่ม ล่าสุดปัจจุบันมีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลกว่า 2 หมื่นคน ผู้ป่วยอาการหนักรวม 3,277 คนนายแพทย์ ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ต้นเดือน พฤศจิกายน 2566 ว่า มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีอาการน้อย และยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอน โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 20 - 26 พฤศจิกายน 2566) พบผู้ติดเชื้อ 480 คน เฉลี่ยวันละ 69 คน และมีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย นับเป็นการเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ๆ เล็กน้อย ประมาณการจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รักษาในโรงพยาบาล 24,590 คน ผู้ป่วยอาการหนักรวม 3,277 คน ซึ่งองค์การอนามัยโลกยังคงแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างไรก็ตาม ยังขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น หรือต้องใกล้ชิดกับกลุ่ม 608 รวมทั้งเด็กเล็กซึ่งยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 และแนะนำล้างมือบ่อยๆ และหากพบตนเองมีอาการป่วยสามารถตรวจหาเชื้อด้วย ATK เบื้องต้น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 หาก ATK พบผลบวกให้รีบไปพบแพทย์ทันทีนอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์กรณีที่จีนพบการระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจเป็นวงกว้าง และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม โดยขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ทางการจีนได้แจ้งสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ พบว่ามีเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเชื้อก่อโรคทางเดินหายใจ ที่เคยมีรายงานแล้ว เช่น เชื้อไมโคพลาสมา ไข้หวัดใหญ่ไวรัสอาร์เอสวี ไวรัสอะดีโน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็ก และข้อมูลจากการสอบสวนโรคไม่พบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ส่วนสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ของไทย มีแนวโน้มลดลง พบผู้ป่วยแล้ว 404,896 คน เสียชีวิต 26 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก และเด็กวัยเรียน อายุแรกเกิด-14 ปี ขณะที่โรคติดเชื้อไวรัส RSV ซึ่งเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ พบการระบาดลดลงเช่นเดียวกันภาพจาก รอยเตอร์ / AFP
อ่านต่อ >74

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
เช็กค่า "ฝุ่น PM2.5" เช้าวันนี้ในพื้นที่ กทม. เกินมาตรฐาน 59 เขต อยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร สรุปผลการตรวจวัด PM2.5 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)-ตรวจวัดได้ 33.3-67.1 มคก./ลบ.ม.-ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 45.2 มคก./ลบ.ม.-ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 59 พื้นที่ทั้งนี้ ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ในช่วง 33.4-67.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวานในช่วงเวลาเดียวกัน และพบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 59 พื้นที่ ได้แก่1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 67.1 มคก./ลบ.ม.2.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 59.1 มคก./ลบ.ม.3.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 58.5 มคก./ลบ.ม.4.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 57.6 มคก./ลบ.ม.5.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 56.5 มคก./ลบ.ม.6.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 55.9 มคก./ลบ.ม.7.เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ : มีค่าเท่ากับ 55.8 มคก./ลบ.ม.8.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 54.1 มคก./ลบ.ม.9.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 54.0 มคก./ลบ.ม.10.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 52.6 มคก./ลบ.ม.11.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.12.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 51.4 มคก./ลบ.ม.13.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 51.3 มคก./ลบ.ม.14.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 50.7 มคก./ลบ.ม.15.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 50.6 มคก./ลบ.ม.16.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 50.5 มคก./ลบ.ม.17.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 49.4 มคก./ลบ.ม.18.เขตบาง
อ่านต่อ >25

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กรมการจัดหางาน ย้ำ มีตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศกว่า 8 หมื่นอัตรา รองรับแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลนายสมชาย มรกตศรีวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว แรงงานไทยที่กลับจากอิสราเอลยังไม่มีงานและไม่มีเงิน อยากกลับไปทำงานประเทศอิสราเอลแต่กระทรวงแรงงานยังไม่อนุญาต นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้เตรียมมาตรการดูแลแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว จำนวน 9,497 คน โดยผลการสำรวจความต้องการแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาพบว่า มีแรงงานต้องการกลับไปทำงานประเทศอิสราเอล จำนวน 4,442 คน ไม่ต้องการกลับไปทำงาน 3,979 คน และยังไม่แน่ใจ 79 คน ซึ่งกรมฯได้เตรียมตำแหน่งงานในประเทศ จำนวน 81,909 อัตรา ซึ่งแม้จะไม่สามารถสร้างรายได้สูงเช่นงานในประเทศอิสราเอล แต่ทดแทนด้วยการได้ใกล้ชิดครอบครัว รวมทั้งมีงานในต่างประเทศรองรับ อาทิ ไต้หวัน สาธารณรัฐโปรตุเกส กรีซ และสาธารณรัฐเกาหลี นอกจากนี้กรมฯ ยังได้เตรียมอาชีพอิสระที่น่าสนใจ ทำง่าย รายได้ดี เหมาะสมกับความต้องการของแรงงานในแต่ละพื้นที่ โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดลงพื้นที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ การรับงานไปทำที่บ้าน และแนะนำแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมายจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านมีดอกเบี้ยต่ำให้กับแรงงานไทยที่ไม่ต้องการทำงานประจำหรือต้องการเริ่มต้นกิจการของตนเองด้วยในส่วนแรงงานที่ต้องการกลับไปทำงานที่รัฐอิสราเอล กรมการจัดหางานเข้าใจและไม่ได้นิ่งนอนใจ อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยในรัฐอิสราเอล เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานไทยจะสามารถกลับไปทำงานได้อย่างปลอดภัย ในระหว่างนี้ขอความร่วมมือแรงงานไทยไม่ลักลอบไปทำงาน และสำหรับแรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และเดินทางกลับจากอิสราเอลด้วยสถานการณ์สงคราม ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2566 กรมการจัดหางานได้ให้การเยียวยาตามสิทธิแล้ว จำนวน 9,218 ราย รวมเป็นเงิน จำนวน 139,270,000 บาททั้งนี้ แรงงานที่ต้องการหางานทำสามารถสมัครงานผ่านเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือ Mobile Application "ไทยมีงานทำ" หรือใช้บริการที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือติดตามประกาศรับสมัครงานในต่างประเทศได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่
อ่านต่อ >18

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
จากกรณีที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 โดยให้ใช้บริการฟรีจนถึง วันที่ 3 มกราคม 2567 จากนั้นจะเก็บค่าโดยสารราคา 15 - 45 บาท วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) สภาผู้บริโภคจึงจัดเวทีเสวนา "รถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสายทำได้ เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและประชาชน" เพื่อเสนอทางออกในการกำหนดราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม โดยมีนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม รองศาสตราจารย์สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค รวมถึงเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร ในฐานะตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เข้าร่วมเวทีด้วยนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค นำเสนอผลการสำรวจเบื้องต้นการสัญจรของผู้บริโภคในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จากการสอบถามผู้ใช้บริการกว่า 2,500 ราย ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.2566 -29 พ.ย.2566 พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 69.8 มีความเห็นว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการตอบโจทย์ต่อการใช้งานและการเดินทางของทุก ๆ คนเมื่อถามว่าราคาค่าโดยสารสายสีชมพูที่รัฐบาลกำหนดไว้ 15 - 45 บาทแพงหรือไม่ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 55 ตอบว่าแพงมาก หากเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย ทั้งนี้ผู้โดยสารเห็นว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสายไม่ควรเกิน 27 บาท นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่าร้อยละ 91 ต้องการให้รัฐบาลกำหนดราคาค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีชมพูเก็บค่าโดยสารไม่เกิน 20 บาทเหมือนกับสายสีม่วงและสีแดง “ผู้ตอบแบบสอบถามอยากได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพู 20 บาท เนื่องจากขณะนี้ให้นั่งฟรีถึงวันที่ 3 ม.ค. 2567 เท่านั้นเองและหลังจากนั้นต้องจ่ายราคา 15 - 45 บาท ซึ่งอยากให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาในส่วนนี้” นายคงศักดิ์ระบุทางด้านเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง สีม่วง สีชมพู สีเหลืองและสีน้ำเงิน ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราคารถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ โดยทุกคนต่างเห็นด้วยและสนับสนุนให้มีราคาค่าโดยสาร 20 บาทตลอด นอกจากนี้ยังต้องการให้ผลักดันการใช้ตั๋วร่วมเนื่องจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและ
อ่านต่อ >28

#โควิด-19 #TNN ช่อง16
กระทรวงสาธารณสุข เผย โควิด-19 มีแนวโน้มระบาดเพิ่ม ล่าสุดปัจจุบันมีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลกว่า 2 หมื่นคน ผู้ป่วยอาการหนักรวม 3,277 คนนายแพทย์ ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ต้นเดือน พฤศจิกายน 2566 ว่า มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีอาการน้อย และยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอน โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 20 - 26 พฤศจิกายน 2566) พบผู้ติดเชื้อ 480 คน เฉลี่ยวันละ 69 คน และมีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย นับเป็นการเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ๆ เล็กน้อย ประมาณการจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รักษาในโรงพยาบาล 24,590 คน ผู้ป่วยอาการหนักรวม 3,277 คน ซึ่งองค์การอนามัยโลกยังคงแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างไรก็ตาม ยังขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น หรือต้องใกล้ชิดกับกลุ่ม 608 รวมทั้งเด็กเล็กซึ่งยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 และแนะนำล้างมือบ่อยๆ และหากพบตนเองมีอาการป่วยสามารถตรวจหาเชื้อด้วย ATK เบื้องต้น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 หาก ATK พบผลบวกให้รีบไปพบแพทย์ทันทีนอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์กรณีที่จีนพบการระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจเป็นวงกว้าง และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม โดยขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ทางการจีนได้แจ้งสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ พบว่ามีเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเชื้อก่อโรคทางเดินหายใจ ที่เคยมีรายงานแล้ว เช่น เชื้อไมโคพลาสมา ไข้หวัดใหญ่ไวรัสอาร์เอสวี ไวรัสอะดีโน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็ก และข้อมูลจากการสอบสวนโรคไม่พบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ส่วนสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ของไทย มีแนวโน้มลดลง พบผู้ป่วยแล้ว 404,896 คน เสียชีวิต 26 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก และเด็กวัยเรียน อายุแรกเกิด-14 ปี ขณะที่โรคติดเชื้อไวรัส RSV ซึ่งเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ พบการระบาดลดลงเช่นเดียวกันภาพจาก รอยเตอร์ / AFP
อ่านต่อ >74

#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
เช็กค่า "ฝุ่น PM2.5" เช้าวันนี้ในพื้นที่ กทม. เกินมาตรฐาน 59 เขต อยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร สรุปผลการตรวจวัด PM2.5 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)-ตรวจวัดได้ 33.3-67.1 มคก./ลบ.ม.-ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 45.2 มคก./ลบ.ม.-ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 59 พื้นที่ทั้งนี้ ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ในช่วง 33.4-67.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวานในช่วงเวลาเดียวกัน และพบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 59 พื้นที่ ได้แก่1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 67.1 มคก./ลบ.ม.2.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 59.1 มคก./ลบ.ม.3.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 58.5 มคก./ลบ.ม.4.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 57.6 มคก./ลบ.ม.5.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 56.5 มคก./ลบ.ม.6.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 55.9 มคก./ลบ.ม.7.เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ : มีค่าเท่ากับ 55.8 มคก./ลบ.ม.8.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 54.1 มคก./ลบ.ม.9.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 54.0 มคก./ลบ.ม.10.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 52.6 มคก./ลบ.ม.11.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.12.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 51.4 มคก./ลบ.ม.13.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 51.3 มคก./ลบ.ม.14.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 50.7 มคก./ลบ.ม.15.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 50.6 มคก./ลบ.ม.16.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 50.5 มคก./ลบ.ม.17.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 49.4 มคก./ลบ.ม.18.เขตบาง
อ่านต่อ >25