
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0% โดยยังไม่นับรวมหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยโดยตรง และมองว่า GDP ยังมีดาวน์ไซด์มีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1% ต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5%โดยความเสี่ยงที่จะกระทบต่อ GDP ไทยปีนี้ ได้แก่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจพลาดเป้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง หลังจากกระแสข่าวลบช่วงต้นปีที่กระทบต่อความเชื่อมั่น มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า หรือถ้าออกนอกประเทศก็จะเดินทางพื้นที่ไกล ฝั่งยุโรป ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัย มองว่าอาจต้องปรับลดเป้านักท่องเที่ยวลงประมาณ 2 ล้านคนนอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal Tarif) ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50 bps โดยความเป็นไปได้ที่สหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่ม ต้องดูที่ส่วนต่างอัตราภาษีระหว่างสหรัฐและไทย ที่เรียกเก็บในปัจจุบันซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 5% อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสินค้าที่ถูกเรียกเก็บเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินค้าหลักที่ถูกส่งออกไปยังสหรัฐ อาทิ เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โซลาร์รูฟท็อป ยางพาราโดยเฉพาะยางรถยนต์ กลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นอันดับต้น ๆอีกทั้งยังมีความกังวลจากภาคการผลิตซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และนำเข้ามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากจีน และการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งปีที่แล้วคาดการณ์ว่าปี 2568 จะมีการลงทุนจำนวนมากจากยอดการขอ BOI แต่หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี ประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยกเลิกแผนการลงทุน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนในการผลิต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง แผนวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมไปถึง Data Center ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้พลังงานสะอาดและสามารถเจรจากับเอกชนให้ราคาค่าไฟถูกลงได้ ซึ่งมีการขอการลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่เห็นความคืบหน้า คาดหวังให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการ ก่อนที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณของภาค
อ่านต่อ >7

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (รถโดยสารไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า) ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติอนุมัติหลักการ จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.68 โดยสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย หรือให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ประกอบสำเร็จรูปและนำเข้ามาทั้งคันบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว จะต้องจัดทำโครงการลงทุน แผนการจ่ายเงิน และรายละเอียดของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ต้องมีคุณสมบัติดังนี้1.รถโดยสารไฟฟ้า ต้องเป็นรถโดยสารที่สามารถขออนุญาตประกอบการขนส่งได้ ในประเภทรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกใน 6 มาตรฐาน2.รถบรรทุกไฟฟ้า ต้องเป็นรถบรรทุกที่สามารถขออนุญาตประกอบการขนส่งได้ ในประเภทรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ หรือสิ่งของ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกใน 6 ลักษณะ3.เป็นรถที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน4.เป็นรถที่นำมาหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร5.ไม่เป็นรถที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น ตาม พ.ร.ฎ.อื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน6.ไม่เป็นรถที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
อ่านต่อ >2

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
แพทองธาร รอดศึกซักฟอก: ย้ำภาพฝ่ายค้านไทย "ไม่แข็งพอ"การรอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายกรัฐมนตรีแพทองธารเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด หากมองย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราจะพบว่านี่คือ "บทละครเดิม" ที่เล่นซ้ำมาหลายทศวรรษ—รัฐบาลเกือบทุกชุด "รอด" จากการลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าการอภิปรายจะดุเดือดเพียงใด ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำไมฝ่ายค้านไทยแพ้โหวตทุกครั้งหากสังเกตการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจในยุคต่างๆ เราจะเห็นแบบแผนชัดเจนยุคทักษิณ (2544-2549): ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายเชิงรุก มีการเตรียมข้อมูลอย่างละเอียด แต่ด้วยเสียงข้างมากท่วมท้นของไทยรักไทย รัฐบาลจึงรอดมติทุกครั้ง (ทักษิณได้รับเสียงไว้วางใจมากกว่า 300 เสียง)ยุคอภิสิทธิ์ (2551-2554): ฝ่ายค้านเพื่อไทยอภิปรายเน้นประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง แต่รัฐบาลยังมีเสียงสนับสนุนจาก 6 พรรคร่วม ทำให้อภิสิทธิ์รอด (246 ต่อ 186 เสียง)ยุคยิ่งลักษณ์ (2554-2557): ฝ่ายค้านประชาธิปัตย์โจมตีเรื่องโครงการรับจำนำข้าวอย่างหนัก แต่พรรคเพื่อไทยและพันธมิตรมีเสียงข้างมากเด็ดขาด ทำให้ยิ่งลักษณ์ชนะโหวต (297 ต่อ 134 เสียง)ยุคประยุทธ์ (2562-2566): ฝ่ายค้านเพื่อไทย-ก้าวไกลรวมตัวกันอภิปรายถึง 4 ครั้ง แต่รัฐบาลรอดทุกครั้ง (ครั้งสุดท้ายประยุทธ์ได้รับเสียงไว้วางใจ 256 ต่อ 206 เสียง)แล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารก็เดินตามรอยเดิม—รัฐบาลชนะโหวต ฝ่ายค้านแพ้ไปตามระเบียบ "คณิตศาสตร์การเมือง" ที่ฝ่ายค้านเอาชนะไม่ได้ เหตุใดประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยเช่นนี้? คำตอบคือ "ตัวเลข" ในสภานั่นเอง รัฐบาลไทยเกือบทุกชุดมี "เสียงข้างมากในสภา" อยู่แล้ว (นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้) เมื่อถึงเวลาโหวต ผลลัพธ์จึงแทบจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลรอดเสมอมีหลายประการ- วินัยพรรคที่เข้มงวด: ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลแทบไม่กล้าแหกมติ- การต่อรองผลประโยชน์: มีการจัดสรรตำแหน่งและงบประมาณแลกเสียงสนับสนุน- ความเกรงกลัวการสูญเสียอำนาจ: พรรคร่วมไม่อยากให้รัฐบาลล้มเพราะกลัวเสียตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายค้านทำอภิปรายไปเพื่ออะไรหากชนะโหวตไม่ได้ ทำไมฝ่ายค้านยังอุตส่าห์อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแล้วครั้งเล่า คำตอบคือ พวกเขาไม่ได้หวังชนะในสภา แต่หวังชนะใจประชาชนฝ่ายค้านใช้เวทีนี้เพื่อ- เปิดโปงข้อมูล: นำหลักฐานทุจริตหรือบริหารผิดพลาดมาเผยแพร่สู่สาธารณะ- ชี้ป
อ่านต่อ >9

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ #ทันหุ้น - ภายหลังจากครม.อนุมัติ ร่าง พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) พร้อมผลักดันเข้าสภาเป็นวาระด่วนภายในสมัยการประชุมนี้ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นในหลายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:
1. กลุ่มบริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการ:
- AWC (Asset World Corp)
- UTA (บริษัทร่วมทุนระหว่าง BA, BTS, และ STEC)
- CP Group
- กลุ่มเดอะมอลล์
บริษัทเหล่านี้มีฐานทุนที่แข็งแกร่งและมีความสนใจในการลงทุนในโครงการดังกล่าว
2. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง:
- STECON (Sino-Thai Engineering and Construction)
- CK (CH. Karnchang)
บริษัทในกลุ่มนี้มีโอกาสได้รับงานก่อสร้างจากโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าว
3. กลุ่มธนาคาร:
- BBL (Bangkok Bank)
- KBANK (Kasikorn Bank)
- KTB (Krung Thai Bank)
ธนาคารเหล่านี้อาจมีบทบาทในการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการ
4. กลุ่มภาคบริการและท่องเที่ยว:
- AOT (Airports of Thailand)
- MINT (Minor International)
- BDMS (Bangkok Dusit Medical Services)
- ERW (The Erawan Group)
- CENTEL (Central Plaza Hotel)
- BA (Bangkok Airways)
- AAV (Asia Aviation)
บริษัทในกลุ่มนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและการขยายตัวของภาคบริการ
5. กลุ่มสื่อและบันเทิง:
- GRAMMY (GMM Grammy)
- ONEE (The One Enterprise)
- RS (RS Public Company)
- WORK (Workpoint Entertainment)
- VGI (VGI Global Media)
บริษัทเหล่านี้อาจได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของธุรกิจบันเทิงและสื่อโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
6. กลุ่มค้าปลีกและศูนย์การค้า:
- CPALL (CP All)
- CRC (Central Retail Corporation)
- MBK (MBK Center)
- CPN (Central Pattana)
บริษัทในกลุ่มนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวที่มากขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเบื้องต้น ต้องติดตามความคืบหน้าในรายละเอียดของโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
อ่านต่อ >
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0% โดยยังไม่นับรวมหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยโดยตรง และมองว่า GDP ยังมีดาวน์ไซด์มีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1% ต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5%โดยความเสี่ยงที่จะกระทบต่อ GDP ไทยปีนี้ ได้แก่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจพลาดเป้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง หลังจากกระแสข่าวลบช่วงต้นปีที่กระทบต่อความเชื่อมั่น มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า หรือถ้าออกนอกประเทศก็จะเดินทางพื้นที่ไกล ฝั่งยุโรป ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัย มองว่าอาจต้องปรับลดเป้านักท่องเที่ยวลงประมาณ 2 ล้านคนนอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal Tarif) ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50 bps โดยความเป็นไปได้ที่สหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่ม ต้องดูที่ส่วนต่างอัตราภาษีระหว่างสหรัฐและไทย ที่เรียกเก็บในปัจจุบันซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 5% อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสินค้าที่ถูกเรียกเก็บเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินค้าหลักที่ถูกส่งออกไปยังสหรัฐ อาทิ เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โซลาร์รูฟท็อป ยางพาราโดยเฉพาะยางรถยนต์ กลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นอันดับต้น ๆอีกทั้งยังมีความกังวลจากภาคการผลิตซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และนำเข้ามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากจีน และการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งปีที่แล้วคาดการณ์ว่าปี 2568 จะมีการลงทุนจำนวนมากจากยอดการขอ BOI แต่หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี ประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยกเลิกแผนการลงทุน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนในการผลิต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง แผนวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมไปถึง Data Center ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้พลังงานสะอาดและสามารถเจรจากับเอกชนให้ราคาค่าไฟถูกลงได้ ซึ่งมีการขอการลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่เห็นความคืบหน้า คาดหวังให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการ ก่อนที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณของภาค
อ่านต่อ >7

#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (รถโดยสารไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า) ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติอนุมัติหลักการ จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.68 โดยสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย หรือให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ประกอบสำเร็จรูปและนำเข้ามาทั้งคันบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว จะต้องจัดทำโครงการลงทุน แผนการจ่ายเงิน และรายละเอียดของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ต้องมีคุณสมบัติดังนี้1.รถโดยสารไฟฟ้า ต้องเป็นรถโดยสารที่สามารถขออนุญาตประกอบการขนส่งได้ ในประเภทรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกใน 6 มาตรฐาน2.รถบรรทุกไฟฟ้า ต้องเป็นรถบรรทุกที่สามารถขออนุญาตประกอบการขนส่งได้ ในประเภทรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ หรือสิ่งของ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกใน 6 ลักษณะ3.เป็นรถที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน4.เป็นรถที่นำมาหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร5.ไม่เป็นรถที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น ตาม พ.ร.ฎ.อื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน6.ไม่เป็นรถที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
อ่านต่อ >2

#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
แพทองธาร รอดศึกซักฟอก: ย้ำภาพฝ่ายค้านไทย "ไม่แข็งพอ"การรอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายกรัฐมนตรีแพทองธารเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด หากมองย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราจะพบว่านี่คือ "บทละครเดิม" ที่เล่นซ้ำมาหลายทศวรรษ—รัฐบาลเกือบทุกชุด "รอด" จากการลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าการอภิปรายจะดุเดือดเพียงใด ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำไมฝ่ายค้านไทยแพ้โหวตทุกครั้งหากสังเกตการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจในยุคต่างๆ เราจะเห็นแบบแผนชัดเจนยุคทักษิณ (2544-2549): ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายเชิงรุก มีการเตรียมข้อมูลอย่างละเอียด แต่ด้วยเสียงข้างมากท่วมท้นของไทยรักไทย รัฐบาลจึงรอดมติทุกครั้ง (ทักษิณได้รับเสียงไว้วางใจมากกว่า 300 เสียง)ยุคอภิสิทธิ์ (2551-2554): ฝ่ายค้านเพื่อไทยอภิปรายเน้นประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง แต่รัฐบาลยังมีเสียงสนับสนุนจาก 6 พรรคร่วม ทำให้อภิสิทธิ์รอด (246 ต่อ 186 เสียง)ยุคยิ่งลักษณ์ (2554-2557): ฝ่ายค้านประชาธิปัตย์โจมตีเรื่องโครงการรับจำนำข้าวอย่างหนัก แต่พรรคเพื่อไทยและพันธมิตรมีเสียงข้างมากเด็ดขาด ทำให้ยิ่งลักษณ์ชนะโหวต (297 ต่อ 134 เสียง)ยุคประยุทธ์ (2562-2566): ฝ่ายค้านเพื่อไทย-ก้าวไกลรวมตัวกันอภิปรายถึง 4 ครั้ง แต่รัฐบาลรอดทุกครั้ง (ครั้งสุดท้ายประยุทธ์ได้รับเสียงไว้วางใจ 256 ต่อ 206 เสียง)แล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารก็เดินตามรอยเดิม—รัฐบาลชนะโหวต ฝ่ายค้านแพ้ไปตามระเบียบ "คณิตศาสตร์การเมือง" ที่ฝ่ายค้านเอาชนะไม่ได้ เหตุใดประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยเช่นนี้? คำตอบคือ "ตัวเลข" ในสภานั่นเอง รัฐบาลไทยเกือบทุกชุดมี "เสียงข้างมากในสภา" อยู่แล้ว (นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้) เมื่อถึงเวลาโหวต ผลลัพธ์จึงแทบจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลรอดเสมอมีหลายประการ- วินัยพรรคที่เข้มงวด: ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลแทบไม่กล้าแหกมติ- การต่อรองผลประโยชน์: มีการจัดสรรตำแหน่งและงบประมาณแลกเสียงสนับสนุน- ความเกรงกลัวการสูญเสียอำนาจ: พรรคร่วมไม่อยากให้รัฐบาลล้มเพราะกลัวเสียตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายค้านทำอภิปรายไปเพื่ออะไรหากชนะโหวตไม่ได้ ทำไมฝ่ายค้านยังอุตส่าห์อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแล้วครั้งเล่า คำตอบคือ พวกเขาไม่ได้หวังชนะในสภา แต่หวังชนะใจประชาชนฝ่ายค้านใช้เวทีนี้เพื่อ- เปิดโปงข้อมูล: นำหลักฐานทุจริตหรือบริหารผิดพลาดมาเผยแพร่สู่สาธารณะ- ชี้ป
อ่านต่อ >9

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
#เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ #ทันหุ้น - ภายหลังจากครม.อนุมัติ ร่าง พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) พร้อมผลักดันเข้าสภาเป็นวาระด่วนภายในสมัยการประชุมนี้ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นในหลายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:
1. กลุ่มบริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการ:
- AWC (Asset World Corp)
- UTA (บริษัทร่วมทุนระหว่าง BA, BTS, และ STEC)
- CP Group
- กลุ่มเดอะมอลล์
บริษัทเหล่านี้มีฐานทุนที่แข็งแกร่งและมีความสนใจในการลงทุนในโครงการดังกล่าว
2. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง:
- STECON (Sino-Thai Engineering and Construction)
- CK (CH. Karnchang)
บริษัทในกลุ่มนี้มีโอกาสได้รับงานก่อสร้างจากโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าว
3. กลุ่มธนาคาร:
- BBL (Bangkok Bank)
- KBANK (Kasikorn Bank)
- KTB (Krung Thai Bank)
ธนาคารเหล่านี้อาจมีบทบาทในการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการ
4. กลุ่มภาคบริการและท่องเที่ยว:
- AOT (Airports of Thailand)
- MINT (Minor International)
- BDMS (Bangkok Dusit Medical Services)
- ERW (The Erawan Group)
- CENTEL (Central Plaza Hotel)
- BA (Bangkok Airways)
- AAV (Asia Aviation)
บริษัทในกลุ่มนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและการขยายตัวของภาคบริการ
5. กลุ่มสื่อและบันเทิง:
- GRAMMY (GMM Grammy)
- ONEE (The One Enterprise)
- RS (RS Public Company)
- WORK (Workpoint Entertainment)
- VGI (VGI Global Media)
บริษัทเหล่านี้อาจได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของธุรกิจบันเทิงและสื่อโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
6. กลุ่มค้าปลีกและศูนย์การค้า:
- CPALL (CP All)
- CRC (Central Retail Corporation)
- MBK (MBK Center)
- CPN (Central Pattana)
บริษัทในกลุ่มนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวที่มากขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเบื้องต้น ต้องติดตามความคืบหน้าในรายละเอียดของโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
อ่านต่อ >
#ข่าวเศรษฐกิจ #TNN ช่อง16
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0% โดยยังไม่นับรวมหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยโดยตรง และมองว่า GDP ยังมีดาวน์ไซด์มีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1% ต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5%โดยความเสี่ยงที่จะกระทบต่อ GDP ไทยปีนี้ ได้แก่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจพลาดเป้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง หลังจากกระแสข่าวลบช่วงต้นปีที่กระทบต่อความเชื่อมั่น มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า หรือถ้าออกนอกประเทศก็จะเดินทางพื้นที่ไกล ฝั่งยุโรป ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัย มองว่าอาจต้องปรับลดเป้านักท่องเที่ยวลงประมาณ 2 ล้านคนนอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal Tarif) ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50 bps โดยความเป็นไปได้ที่สหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่ม ต้องดูที่ส่วนต่างอัตราภาษีระหว่างสหรัฐและไทย ที่เรียกเก็บในปัจจุบันซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 5% อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสินค้าที่ถูกเรียกเก็บเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินค้าหลักที่ถูกส่งออกไปยังสหรัฐ อาทิ เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โซลาร์รูฟท็อป ยางพาราโดยเฉพาะยางรถยนต์ กลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นอันดับต้น ๆอีกทั้งยังมีความกังวลจากภาคการผลิตซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และนำเข้ามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากจีน และการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งปีที่แล้วคาดการณ์ว่าปี 2568 จะมีการลงทุนจำนวนมากจากยอดการขอ BOI แต่หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี ประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยกเลิกแผนการลงทุน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนในการผลิต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง แผนวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมไปถึง Data Center ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้พลังงานสะอาดและสามารถเจรจากับเอกชนให้ราคาค่าไฟถูกลงได้ ซึ่งมีการขอการลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่เห็นความคืบหน้า คาดหวังให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการ ก่อนที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณของภาค
อ่านต่อ >7