
#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
“จุลพันธ์”เผย รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสสาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด พร้อมประเมินเม็ดเงิน 1.5แสนล้านบาทจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้มากกว่า 0.37%
#ทันหุ้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการจ่ายเงินดิจิทัลเฟสที่สาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้ง่ายขึ้น โดยโครงการนี้จะเริ่มจ่ายได้ในไตรมาสสองปีนี้
เขากล่าวว่า การจ่ายเงินเฟสสามจะมีเม็ดเงินราว 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นเม็เงินก้อนใหญ่ที่จะไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการประเมินว่า ด้วยกลไกการจ่ายเงินที่จะมีความผ่อนปรนนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.37% และหากว่า มีการใช้จ่ายทั้ง 100% จะเพิ่มจีดีพีได้อีกไม่ต่ำกว่า 0.1%
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ รวมถึง สถาบันการเงินทั้งแบงก์และนอนแบงก์ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมเป็นอย่างดี
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วสองเฟส โดยเฟสแรกเป็นการจ่ายเงินสดให้แก่กลุ่มเปราะบางและพิการจำนวน 1.45 แสนล้านบาท ต่อมาในเฟสสองจ่ายเงินให้แก่ผู้สูงอายุอีก 3 หมื่นล้านบาท ส่วนเฟสที่สามนี้ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะมีการนำเข้าสู่คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในปลายเดือนก.พ.นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ทำการประเมินผลการใช้จ่ายเงินในโครงการนี้ ซึ่งพบว่า 90%นำไปใช้จ่าย ส่วนที่เหลืออีก 10% นำไปใช้เพื่อชำระหนี้และเก็บออม อย่างไรก็ดี ในการใช้จ่ายถึง 90%นี้ ถือเป็นผลสำเร็จของโครงการที่ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
เขายังกล่าวด้วยว่า ในปีนี้ เราพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่า 3%โดยหากเราสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีก 5 แสนคน จากเป้าหมายกว่า 38 ล้านคน จะสามารถเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.11% และหากมีเม็ดเงินลงทุนจริง 7 หมื่นล้านบาท จากการขอสิทธิประโยชน์บีอีโอ 1.3 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.1% ดังนั้น โจทย์เราไม่ใช่แค่ดันจีดีพีให้ได้ 3% แต่เราตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 3.5% ถ้ารัฐบาลทำได้จะขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนสังคมฟื้นได้
อ่านต่อ >47

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
ครม. ไฟเขียว Non-Banks ร่วมแก้หนี้ “คุณสู้-เราช่วย” ผ่อน 70% ลดดอก 10% หนี้ต่ำ 5,000 จ่าย10% ปิดจบทันที
#ทันหุ้น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ให้ลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” 2 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” ช่วยลูกหนี้ค้างชำระ ณวันที่ 31 ต.ค. 67 ของ Non-Banks ในสินเชื่อรถยนต์วงเงินไม่เกิน 800,000 บาท สินเชื่อรถจักรยานยนต์วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 100,000 หรือไม่เกิน 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละแห่ง สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 20,000 บาท และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 50,000 บาท “โดยมาตรการนี้จะลดภาระผ่อนชำระ 3 ปี เหลือเพียง 70% และลดดอกเบี้ยให้ 10% เช่น จากเดิม 25% เป็น 15% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยพักดอกเบี้ยส่วนที่ลดให้และยกเว้นให้เลยหากลูกหนี้ทำตามเงื่อนไขได้
มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” ช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ Non-Banks บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงร้อยละ 10 เพื่อปิดหนี้ได้ทันที
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจัด Soft Loan สำหรับ Non-Banks ของธนาคารออมสิน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี และกำหนดให้วงเงินสินเชื่อของ Non-Banks แต่ละรายขึ้นอยู่กับการสูญเสียรายได้ของ Non-Banks แต่ละแห่ง ที่เกิดจากการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ครั้งนี้
“คุณสู้ เราช่วย”จะช่วยแก้หนี้ จะดูแลความเป็นอยู่ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบเข้มข้นของรัฐบาล สำหรับลูกหนี้ของ Non-Banks สมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo หรือติดต่อเจ้าหนี้ ถึง 30 เม.ย. 68
อ่านต่อ >19

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
“พิชัย”ยอมรับนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย เหตุภาพความไม่ชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและบริโภค ขณะที่ รัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้วยการสนับสนุนลงทุนเพิ่ม ระบุ นโยบายทรัมป์ยังไม่ชัดเจน หนุนแนวคิดขยายกรอบก่อหนี้เพิ่ม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า การผลักดันเศรษฐกิจไทยให้สามารถขยายตัวได้ถึง3.5%ในปีนี้นั้น อยู่ที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นในประเทศไทยยังน้อย แม้ในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาบ้างก็ตาม โดยสาเหตุที่ความเชื่อมั่นในประเทศไทยยังน้อย มาจากภาพของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน ไม่มีความแน่นอน ทำให้นักลงทุนไม่ตัดสินใจ ขณะที่ ผู้บริโภคก็บริโภคน้อยลง
ส่วนการที่จะทำให้ความเชื่อมั่นในประเทศไทย กลับคืนมานั้น นายพิชัย กล่าวว่า เราจำเป็นต้องทำในหลายรูปแบบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราได้พยายามทำในหลายเรื่องเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมา ซึ่งตนพยายามจะเร่งให้เกิดการลงทุนในประเทศ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งขณะนี้ก็มีโครงการลงทุนหลายโครงการที่เตรียมจะลงทุนจริง โดยอยู่ในระหว่างการหาพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
เขายังกล่าวถึงนโยบายของทรัมป์ ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าว่า ขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินอย่างไร แม้แต่นักธุรกิจอเมริกันที่ตนได้พูดคุยด้วยก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่านโยบายทรัมป์จะเดินหน้าอย่างไร ส่วนที่สหรัฐต้องการให้ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นนั้นว่า อย่าเรียกว่า เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นเลย แต่เป็นการนำเข้าสินค้าที่เราต้องการ แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ซึ่งสินค้าหลายอย่างของสหรัฐก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม
เขายังกล่าวถึงข้อเสนอของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)ที่ขอให้รัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะของรัฐบาล ให้สูงกว่า 70%ของจีดีพีว่า ในส่วนตัวนั้น ตนเห็นด้วย เพราะภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ทำให้รัฐบาลมีความสามารถในการก่อหนี้ได้น้อยลง
อย่างก็ตามนายพิชัย กล่าวว่า ก่อนที่เราจะขยายเพดานการก่อหนี้ให้สูงขึ้น เราจำเป็นต้องบริหารฝั่งรายรับและรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพก่อน โดยจะต้องปรับปรุงระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ การจัดเก็บภาษี จะต้องทำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งหากเราสามารถบริหารจัดการดังกล่าวได้อย่างมีป
อ่านต่อ >19

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
คลังเตรียมตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าธปท.คนใหม่ภายในเดือนก.พ.นี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้ว่าธปท.คนใหม่แทนคนปัจจุบันที่จะหมดวาระในเดือนก.ย.นี้
#ทันหุ้น นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ภายในเดือนมีนาคมนี้ ตนเตรียมลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ที่จะมานั่งในตำแหน่งต่อจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท.ที่จะหมดวาระในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งการเลือกผู้ว่าการธปท.นั้น จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและใช้เวลานาน ดังนั้น จึงต้องเริ่มต้นกระบวนการโดยเร็ว
อ่านต่อ >18

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
“จุลพันธ์”เผย รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสสาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด พร้อมประเมินเม็ดเงิน 1.5แสนล้านบาทจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้มากกว่า 0.37%
#ทันหุ้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการจ่ายเงินดิจิทัลเฟสที่สาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้ง่ายขึ้น โดยโครงการนี้จะเริ่มจ่ายได้ในไตรมาสสองปีนี้
เขากล่าวว่า การจ่ายเงินเฟสสามจะมีเม็ดเงินราว 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นเม็เงินก้อนใหญ่ที่จะไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการประเมินว่า ด้วยกลไกการจ่ายเงินที่จะมีความผ่อนปรนนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.37% และหากว่า มีการใช้จ่ายทั้ง 100% จะเพิ่มจีดีพีได้อีกไม่ต่ำกว่า 0.1%
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ รวมถึง สถาบันการเงินทั้งแบงก์และนอนแบงก์ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมเป็นอย่างดี
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วสองเฟส โดยเฟสแรกเป็นการจ่ายเงินสดให้แก่กลุ่มเปราะบางและพิการจำนวน 1.45 แสนล้านบาท ต่อมาในเฟสสองจ่ายเงินให้แก่ผู้สูงอายุอีก 3 หมื่นล้านบาท ส่วนเฟสที่สามนี้ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะมีการนำเข้าสู่คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในปลายเดือนก.พ.นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ทำการประเมินผลการใช้จ่ายเงินในโครงการนี้ ซึ่งพบว่า 90%นำไปใช้จ่าย ส่วนที่เหลืออีก 10% นำไปใช้เพื่อชำระหนี้และเก็บออม อย่างไรก็ดี ในการใช้จ่ายถึง 90%นี้ ถือเป็นผลสำเร็จของโครงการที่ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
เขายังกล่าวด้วยว่า ในปีนี้ เราพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่า 3%โดยหากเราสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีก 5 แสนคน จากเป้าหมายกว่า 38 ล้านคน จะสามารถเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.11% และหากมีเม็ดเงินลงทุนจริง 7 หมื่นล้านบาท จากการขอสิทธิประโยชน์บีอีโอ 1.3 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.1% ดังนั้น โจทย์เราไม่ใช่แค่ดันจีดีพีให้ได้ 3% แต่เราตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 3.5% ถ้ารัฐบาลทำได้จะขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนสังคมฟื้นได้
อ่านต่อ >47

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
ครม. ไฟเขียว Non-Banks ร่วมแก้หนี้ “คุณสู้-เราช่วย” ผ่อน 70% ลดดอก 10% หนี้ต่ำ 5,000 จ่าย10% ปิดจบทันที
#ทันหุ้น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ให้ลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” 2 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” ช่วยลูกหนี้ค้างชำระ ณวันที่ 31 ต.ค. 67 ของ Non-Banks ในสินเชื่อรถยนต์วงเงินไม่เกิน 800,000 บาท สินเชื่อรถจักรยานยนต์วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 100,000 หรือไม่เกิน 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละแห่ง สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 20,000 บาท และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 50,000 บาท “โดยมาตรการนี้จะลดภาระผ่อนชำระ 3 ปี เหลือเพียง 70% และลดดอกเบี้ยให้ 10% เช่น จากเดิม 25% เป็น 15% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยพักดอกเบี้ยส่วนที่ลดให้และยกเว้นให้เลยหากลูกหนี้ทำตามเงื่อนไขได้
มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” ช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ Non-Banks บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงร้อยละ 10 เพื่อปิดหนี้ได้ทันที
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจัด Soft Loan สำหรับ Non-Banks ของธนาคารออมสิน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี และกำหนดให้วงเงินสินเชื่อของ Non-Banks แต่ละรายขึ้นอยู่กับการสูญเสียรายได้ของ Non-Banks แต่ละแห่ง ที่เกิดจากการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ครั้งนี้
“คุณสู้ เราช่วย”จะช่วยแก้หนี้ จะดูแลความเป็นอยู่ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบเข้มข้นของรัฐบาล สำหรับลูกหนี้ของ Non-Banks สมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo หรือติดต่อเจ้าหนี้ ถึง 30 เม.ย. 68
อ่านต่อ >19

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
“พิชัย”ยอมรับนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย เหตุภาพความไม่ชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและบริโภค ขณะที่ รัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้วยการสนับสนุนลงทุนเพิ่ม ระบุ นโยบายทรัมป์ยังไม่ชัดเจน หนุนแนวคิดขยายกรอบก่อหนี้เพิ่ม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า การผลักดันเศรษฐกิจไทยให้สามารถขยายตัวได้ถึง3.5%ในปีนี้นั้น อยู่ที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นในประเทศไทยยังน้อย แม้ในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาบ้างก็ตาม โดยสาเหตุที่ความเชื่อมั่นในประเทศไทยยังน้อย มาจากภาพของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน ไม่มีความแน่นอน ทำให้นักลงทุนไม่ตัดสินใจ ขณะที่ ผู้บริโภคก็บริโภคน้อยลง
ส่วนการที่จะทำให้ความเชื่อมั่นในประเทศไทย กลับคืนมานั้น นายพิชัย กล่าวว่า เราจำเป็นต้องทำในหลายรูปแบบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราได้พยายามทำในหลายเรื่องเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมา ซึ่งตนพยายามจะเร่งให้เกิดการลงทุนในประเทศ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งขณะนี้ก็มีโครงการลงทุนหลายโครงการที่เตรียมจะลงทุนจริง โดยอยู่ในระหว่างการหาพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
เขายังกล่าวถึงนโยบายของทรัมป์ ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าว่า ขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินอย่างไร แม้แต่นักธุรกิจอเมริกันที่ตนได้พูดคุยด้วยก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่านโยบายทรัมป์จะเดินหน้าอย่างไร ส่วนที่สหรัฐต้องการให้ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นนั้นว่า อย่าเรียกว่า เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นเลย แต่เป็นการนำเข้าสินค้าที่เราต้องการ แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ซึ่งสินค้าหลายอย่างของสหรัฐก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม
เขายังกล่าวถึงข้อเสนอของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)ที่ขอให้รัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะของรัฐบาล ให้สูงกว่า 70%ของจีดีพีว่า ในส่วนตัวนั้น ตนเห็นด้วย เพราะภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ทำให้รัฐบาลมีความสามารถในการก่อหนี้ได้น้อยลง
อย่างก็ตามนายพิชัย กล่าวว่า ก่อนที่เราจะขยายเพดานการก่อหนี้ให้สูงขึ้น เราจำเป็นต้องบริหารฝั่งรายรับและรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพก่อน โดยจะต้องปรับปรุงระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ การจัดเก็บภาษี จะต้องทำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งหากเราสามารถบริหารจัดการดังกล่าวได้อย่างมีป
อ่านต่อ >19

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
คลังเตรียมตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าธปท.คนใหม่ภายในเดือนก.พ.นี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้ว่าธปท.คนใหม่แทนคนปัจจุบันที่จะหมดวาระในเดือนก.ย.นี้
#ทันหุ้น นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ภายในเดือนมีนาคมนี้ ตนเตรียมลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ที่จะมานั่งในตำแหน่งต่อจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท.ที่จะหมดวาระในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งการเลือกผู้ว่าการธปท.นั้น จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและใช้เวลานาน ดังนั้น จึงต้องเริ่มต้นกระบวนการโดยเร็ว
อ่านต่อ >18

#ข่าวการเงิน การลงทุน #ทันหุ้น
“จุลพันธ์”เผย รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสสาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด พร้อมประเมินเม็ดเงิน 1.5แสนล้านบาทจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้มากกว่า 0.37%
#ทันหุ้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการจ่ายเงินดิจิทัลเฟสที่สาม เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้ง่ายขึ้น โดยโครงการนี้จะเริ่มจ่ายได้ในไตรมาสสองปีนี้
เขากล่าวว่า การจ่ายเงินเฟสสามจะมีเม็ดเงินราว 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นเม็เงินก้อนใหญ่ที่จะไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการประเมินว่า ด้วยกลไกการจ่ายเงินที่จะมีความผ่อนปรนนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.37% และหากว่า มีการใช้จ่ายทั้ง 100% จะเพิ่มจีดีพีได้อีกไม่ต่ำกว่า 0.1%
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ รวมถึง สถาบันการเงินทั้งแบงก์และนอนแบงก์ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมเป็นอย่างดี
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วสองเฟส โดยเฟสแรกเป็นการจ่ายเงินสดให้แก่กลุ่มเปราะบางและพิการจำนวน 1.45 แสนล้านบาท ต่อมาในเฟสสองจ่ายเงินให้แก่ผู้สูงอายุอีก 3 หมื่นล้านบาท ส่วนเฟสที่สามนี้ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะมีการนำเข้าสู่คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในปลายเดือนก.พ.นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ทำการประเมินผลการใช้จ่ายเงินในโครงการนี้ ซึ่งพบว่า 90%นำไปใช้จ่าย ส่วนที่เหลืออีก 10% นำไปใช้เพื่อชำระหนี้และเก็บออม อย่างไรก็ดี ในการใช้จ่ายถึง 90%นี้ ถือเป็นผลสำเร็จของโครงการที่ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
เขายังกล่าวด้วยว่า ในปีนี้ เราพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่า 3%โดยหากเราสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีก 5 แสนคน จากเป้าหมายกว่า 38 ล้านคน จะสามารถเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.11% และหากมีเม็ดเงินลงทุนจริง 7 หมื่นล้านบาท จากการขอสิทธิประโยชน์บีอีโอ 1.3 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.1% ดังนั้น โจทย์เราไม่ใช่แค่ดันจีดีพีให้ได้ 3% แต่เราตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 3.5% ถ้ารัฐบาลทำได้จะขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนสังคมฟื้นได้
อ่านต่อ >47