รีเซต

สิ่งควรระวังเมื่อซื้อรถยนต์มือสอง ควรตรอจสอบอะไรบ้าง

สิ่งควรระวังเมื่อซื้อรถยนต์มือสอง ควรตรอจสอบอะไรบ้าง
EntertainmentReport1
3 กรกฎาคม 2568 ( 23:56 )
42

การซื้อรถยนต์มือสอง เป็นการลงทุนที่ต้องใช้ความรอบคอบสูงครับ เพราะคุณจะได้รถในราคาที่คุ้มค่ากว่ามือหนึ่งก็จริง แต่ก็มีความเสี่ยงแฝงอยู่มาก ทั้งจากสภาพรถที่อาจถูกย้อมแมว หรือเอกสารที่ไม่ถูกต้อง การตรวจสอบอย่างละเอียดรอบด้านจะช่วยให้คุณได้รถที่ดีและคุ้มค่าที่สุดครับ ดังนั้นพวกเราทีมงาน TrueID ขอรวบรวมสิ่งที่ควรระวังและตรวจสอบอย่างละเอียดเมื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสอง

 

 

1. สภาพภายนอกรถยนต์ (ตัวถัง, สี, รอยบุบ/ชน)

เริ่มต้นที่ภายนอกรถที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า สภาพภายนอกสามารถบอกเล่าเรื่องราวของรถได้เยอะ:

 

  • ร่องรอยการชน/ทำสี:
    • สีรถ: ลองมองสีรถจากหลายๆ มุม สังเกตความสม่ำเสมอของสีรถทั้งคัน ถ้าสีบางส่วนดูเงาผิดปกติ หรือมีเฉดสีที่ต่างออกไป อาจบ่งบอกถึงการทำสีใหม่จากการชน
    • ช่องว่างรอยต่อ: ตรวจสอบช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวถัง เช่น ฝากระโปรงกับบังโคลน, ประตูกับตัวถัง, ฝากระโปรงท้ายกับบังโคลนท้าย ถ้าช่องว่างไม่เท่ากัน หรือเบี้ยวไปจากปกติ อาจเคยมีการถอดประกอบหรือเปลี่ยนชิ้นส่วน
    • น็อตยึดชิ้นส่วน: เปิดฝากระโปรงหน้า, ฝากระโปรงท้าย, และประตูทั้ง 4 บาน สังเกตหัวน็อตยึด เช่น น็อตฝากระโปรง, น็อตยึดบานพับประตู ถ้ามีร่องรอยการขัน หรือสีถลอก อาจเคยมีการถอดเปลี่ยนหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนนั้นๆ
    • รอยเชื่อม/คาน: ตรวจสอบคานหน้า คานหลัง และรอยเชื่อมต่างๆ ของตัวถัง ถ้าเห็นรอยเชื่อมที่ไม่เป็นระเบียบ หรือมีรอยสนิมในจุดที่ไม่ควรมี อาจเป็นรถที่เคยเกิดอุบัติเหตุชนหนัก
  • กระจกและไฟส่องสว่าง: ตรวจสอบรอยร้าว รอยแตกของกระจกทุกบาน และความสมบูรณ์ของชุดไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยว
  • ยางรถยนต์และล้อแม็ก:
    • ดอกยาง: ดอกยางควรมีความลึกสม่ำเสมอทั้ง 4 เส้น (ไม่ควรสึกหรอไม่เท่ากัน) และไม่ควรมีรอยฉีกขาดหรือบวม
    • ปีที่ผลิตยาง: ตรวจสอบตัวเลข 4 หลักบนแก้มยาง (สัปดาห์ที่ผลิต/ปีที่ผลิต) เช่น 2024 หมายถึง สัปดาห์ที่ 20 ปี 2024 ถ้าผลิตนานเกิน 2-3 ปี หรือต่างกันมากในแต่ละเส้น อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยน
    • ล้อแม็ก: ตรวจสอบรอยคด รอยแตก หรือรอยเบียดขอบถนน

 

 

2. ห้องเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

ส่วนนี้คือหัวใจของรถยนต์ การตรวจสอบอย่างละเอียดสำคัญมาก:

  • คราบน้ำมัน/น้ำหล่อเย็น: มองหารอยรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำหล่อเย็น บริเวณรอบๆ เครื่องยนต์ ท่อน้ำ และใต้ท้องรถ
  • ระดับของเหลว: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ และน้ำในหม้อน้ำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ สีของของเหลวควรอยู่ในสภาพดี ไม่ขุ่นดำผิดปกติ
  • สายพาน/ท่อยาง: ตรวจสอบสภาพของสายพานต่างๆ ว่ามีการแตกลายงา หรือเสียงดังผิดปกติหรือไม่ รวมถึงท่อยางต่างๆ ว่าแข็งกระด้างหรือมีรอยร้าว
  • แบตเตอรี่: ตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ว่ามีคราบขี้เกลือเกาะหรือไม่ และสภาพแบตเตอรี่โดยรวม
  • ร่องรอยการซ่อม: สังเกตว่าเครื่องยนต์เคยถูกถอดหรือซ่อมแซมใหญ่ๆ หรือไม่ เช่น น็อตฝาสูบมีรอยขัน หรือปะเก็นมีรอยรั่วซึม
  • เสียงเครื่องยนต์: สตาร์ทเครื่องยนต์ฟังเสียง ควรเดินเรียบ ไม่สั่น หรือมีเสียงแปลกๆ เช่น เสียงดังแก๊กๆ, เสียงหอบ, เสียงดังอีดๆ (เสียงสายพาน)
  • ระบบเกียร์:
    • เกียร์ออโต้: ลองเข้าเกียร์ D, R และ N สลับไปมา ควรเข้าได้นุ่มนวล ไม่กระตุกหรือมีเสียงดัง
    • เกียร์ธรรมดา: ลองเข้าเกียร์แต่ละตำแหน่ง ควรเข้าได้ง่าย ไม่ติดขัด และลองปล่อยคลัตช์เบาๆ เพื่อดูว่ารถมีการออกตัวที่ดีหรือไม่

 

 

3. ภายในห้องโดยสาร

ภายในรถสามารถบอกถึงการดูแลรักษาและลักษณะการใช้งานของเจ้าของเดิมได้

  • สภาพเบาะ: ตรวจสอบรอยฉีกขาด รอยเปื้อน หรือการยุบตัวของเบาะ โดยเฉพาะเบาะคนขับ
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า: ลองเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด เช่น ไฟส่องสว่างภายในรถ, แอร์ (ความเย็นและพัดลม), เครื่องเสียง, กระจกไฟฟ้าทุกบาน, ที่ปัดน้ำฝน, แตร, ระบบล็อกประตู, ปุ่มควบคุมต่างๆ ว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่
  • ไมล์สะสม (เลขไมล์): ตรวจสอบว่าไมล์สะสมสมเหตุสมผลกับสภาพรถและปีที่ผลิตหรือไม่ และควรระวังการกรอไมล์ (อาจดูได้จากร่องรอยการถอดประกอบแผงหน้าปัด หรือบันทึกการเข้ารับบริการครั้งล่าสุด)
  • กลิ่นภายในรถ: สังเกตกลิ่นอับชื้น กลิ่นบุหรี่ หรือกลิ่นไหม้ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงปัญหาภายใน เช่น รถเคยจมน้ำ หรือมีปัญหาระบบไฟฟ้า
  • พวงมาลัย/แป้นเหยียบ: สังเกตความสึกหรอของพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบ (คันเร่ง เบรก คลัตช์) ว่าสมเหตุสมผลกับเลขไมล์หรือไม่
  • แผงหน้าปัด: ลองสตาร์ทรถและสังเกตไฟเตือนต่างๆ บนแผงหน้าปัด ว่ามีไฟโชว์ผิดปกติหรือไม่ (เช่น ไฟ Check Engine)

 

 

4. เอกสารและประวัติรถ

เอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของและความถูกต้องตามกฎหมาย

  • เล่มทะเบียนรถ (สมุดคู่มือจดทะเบียน):
    • ชื่อผู้ครอบครอง: ตรวจสอบว่าชื่อผู้ครอบครองตรงกับผู้ขายหรือไม่
    • ข้อมูลรถ: ตรวจสอบเลขเครื่องยนต์, เลขตัวถัง ว่าตรงกับรถจริง และตรงกับที่ระบุในเล่มทะเบียน
    • ประวัติการโอน: ดูประวัติการโอนกรรมสิทธิ์ว่ามีการเปลี่ยนมือบ่อยเกินไปหรือไม่
    • วันจดทะเบียน: ดูปีที่จดทะเบียนรถ
    • ประวัติการชำระภาษี: ดูว่าภาษีขาดต่อหรือไม่
    • การแจ้งเปลี่ยนเครื่องยนต์/สี: ถ้ามีการดัดแปลง ต้องมีการแจ้งลงในเล่มทะเบียน
  • เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์: เตรียมเอกสารการโอนให้พร้อม ตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น และเอกสารบัตรประชาชนของผู้ขาย
  • ประวัติการซ่อมบำรุง: หากผู้ขายมีสมุดคู่มือการซ่อมบำรุง หรือใบเสร็จจากการเข้าศูนย์บริการ จะเป็นข้อมูลที่ดีมากในการตรวจสอบประวัติรถ

 

 

5. การทดลองขับ (Test Drive)

นี่คือขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณสัมผัสถึงปัญหาของรถได้จริง

  • สตาร์ทเครื่อง: ฟังเสียงเครื่องยนต์ตอนสตาร์ท ต้องติดง่าย ไม่ใช้เวลานาน
  • เกียร์: ลองขับทั้งในความเร็วต่ำและสูง สลับเกียร์ขึ้นลง (สำหรับเกียร์ธรรมดา) และลองเข้าเกียร์ D, R (สำหรับเกียร์ออโต้) สังเกตการเปลี่ยนเกียร์ว่าลื่นไหล ไม่กระตุกหรือมีเสียงดังผิดปกติ
  • ช่วงล่าง: ลองขับผ่านลูกระนาด ทางขรุขระ ฟังเสียงช่วงล่างว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ (เช่น เสียงกุกกัก เสียงโครมคราม)
  • เบรก: ลองเหยียบเบรกดูว่าผ้าเบรกจับตัวดี ไม่มีการสั่นที่พวงมาลัยหรือแป้นเบรก และรถไม่กินซ้ายกินขวาเมื่อเบรก
  • พวงมาลัย: ลองเลี้ยวซ้าย-ขวา สุดๆ ดูว่ามีเสียงดังหรือติดขัดหรือไม่ พวงมาลัยควรจะควบคุมง่ายและไม่หลวมคลอน
  • ความเร็วสูง: ถ้าเป็นไปได้ ลองขับที่ความเร็วสูงขึ้น เพื่อดูว่ารถมีการทรงตัวดีหรือไม่ และมีเสียงลม เสียงยางผิดปกติหรือไม่
  •  

6. พาผู้เชี่ยวชาญ/ช่างไปช่วยดู

หากคุณไม่มีความรู้เรื่องรถยนต์มากพอ หรืออาจยังไม่มั่นใจ การพาช่างยนต์ที่ไว้ใจได้ หรือผู้เชี่ยวชาญไปช่วยตรวจสอบรถ จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ช่างจะสามารถตรวจสอบจุดต่างๆ ที่คนทั่วไปมองข้ามได้ และประเมินสภาพเครื่องยนต์และช่วงล่างได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นครับ

 

 

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ระวังรถที่ราคาถูกเกินจริง: ถ้าสเปกรถดี แต่ราคาถูกกว่าตลาดมาก อาจมีอะไรผิดปกติ ควรระวังเป็นพิเศษ
  • พยายามซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: เช่น เต็นท์รถมือสองที่มีชื่อเสียงและมีการรับประกัน หรือเจ้าของรถโดยตรงที่คุณสามารถสอบถามประวัติรถได้อย่างละเอียด
  • ขอเอกสารการซื้อขายให้ครบถ้วน: เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

การซื้อรถมือสองไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใช้เวลาและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบครับ ถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านี้ เพื่อนๆ ก็จะได้รถที่ถูกใจและคุ้มค่าอย่างแน่นอน !

Photo Credit : AI Generated 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง