รีเซต

ควรเปลี่ยนยางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เมื่อไหร่ ใช้ได้นานกี่ปี จะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ

ควรเปลี่ยนยางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เมื่อไหร่ ใช้ได้นานกี่ปี จะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ
EntertainmentReport1
18 มิถุนายน 2568 ( 21:47 )
19

การเปลี่ยนยางรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่ รวมถึงประสิทธิภาพของรถด้วยครับ ในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ยางจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากความร้อนและปัจจัยอื่นๆ ที่ยางต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้นพวกเราทีมงาน TrueID รวบรวมข้อมูลว่าควรเปลี่ยนยางเมื่อไหร่ ใช้ได้นานแค่ไหน และจะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ

 

 

อายุการใช้งานโดยประมาณของยางรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์

อายุการใช้งานของยางไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ระยะเวลา" เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ "ระยะทางที่วิ่ง" และ "สภาพการใช้งาน" ด้วย

  • ยางรถยนต์:

    • ตามระยะทาง: โดยเฉลี่ยแล้วควรเปลี่ยนเมื่อวิ่งไปแล้วประมาณ 50,000 - 80,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อยาง, พฤติกรรมการขับขี่ และสภาพถนน)
    • ตามระยะเวลา: ผู้ผลิตยางส่วนใหญ่แนะนำให้เปลี่ยนยางที่ใช้งานไปแล้ว ประมาณ 2-3 ปี หรือ ไม่ควรเกิน 5 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่าจะยังวิ่งได้ไม่ถึงระยะทางที่กำหนด หรือดอกยางยังดูดีอยู่ก็ตาม เพราะเนื้อยางจะเริ่มเสื่อมสภาพ แข็งกระด้าง และสูญเสียคุณสมบัติในการยึดเกาะถนน
    • ยางที่ไม่เคยใช้งาน: ยางที่ยังไม่เคยใช้งานและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 5-6 ปี นับจากวันที่ผลิต ก่อนนำมาใช้งาน

 

 

  • ยางรถมอเตอร์ไซค์:

    • ตามระยะทาง: โดยเฉลี่ยประมาณ 10,000 - 20,000 กิโลเมตร
    • ตามระยะเวลา: แนะนำให้เปลี่ยนยางที่ใช้งานไปแล้ว ประมาณ 1-2 ปี หรือ ไม่ควรเกิน 3 ปี นับจากวันที่ติดตั้ง (บางข้อมูลระบุไม่ควรเกิน 5 ปี นับจากวันที่ผลิต) เนื่องจากยางมอเตอร์ไซค์สัมผัสถนนมากกว่า มีพื้นที่สัมผัสน้อยกว่า และรับแรงบิดสูงกว่ารถยนต์ ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่า

จะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ หรือควรเปลี่ยนยางแล้ว?

 

 

ภาพโดย Myléne จาก Pixabay

นอกจากการดูที่ระยะทางและระยะเวลาแล้ว สัญญาณที่สำคัญที่สุดคือ สภาพของยาง เองที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าและจากการขับขี่ ดังนี้:

  1. ดูจาก "วันที่ผลิตยาง" (DOT Number): เป็นวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการตรวจสอบอายุของยาง ยางทุกเส้นจะมีตัวเลข 4 หลักอยู่ในกรอบวงรีที่แก้มยาง (อาจมีคำว่า DOT นำหน้า)
  • สองตัวแรก: คือ สัปดาห์ที่ผลิต (เช่น 01-52 สัปดาห์ที่ 1 ถึง 52)
  • สองตัวหลัง: คือ ปีที่ผลิต (สองหลักสุดท้ายของปี ค.ศ.)
  • ตัวอย่าง: ถ้าเห็นตัวเลข "1523" หมายความว่า ยางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 15 ของปี ค.ศ. 2023
  1. สังเกต "ดอกยางสึกหรอ" (Tread Wear Indicator - TWI):
  • สะพานยาง: ยางทุกเส้นจะมี "สะพานยาง" เป็นปุ่มนูนเล็กๆ อยู่ในร่องดอกยาง หากดอกยางสึกหรอจนอยู่ในระดับเดียวกันกับสะพานยาง แสดงว่ายางนั้นหมดอายุการใช้งานแล้ว และประสิทธิภาพในการรีดน้ำและยึดเกาะถนนจะลดลงอย่างมาก
  • ความลึกของดอกยาง: ดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร หากเหลือความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร (สำหรับรถยนต์) หรือ 2 มิลลิเมตร (สำหรับมอเตอร์ไซค์บางรุ่น) ถือว่าอันตรายมากและควรเปลี่ยนทันที
  1. เนื้อยางมี "รอยแตกลายงา" หรือ "รอยร้าว":
  • เกิดจากยางเสื่อมสภาพจากการโดนแสงแดด ความร้อน และการใช้งานนานๆ หากมีรอยแตกร้าวเล็กๆ น้อยๆ อาจยังพอใช้ได้ แต่ถ้าแตกลายงาเป็นวงกว้าง ลึก หรือพบรอยร้าวตามแก้มยาง แสดงว่าเนื้อยางเสื่อมสภาพมาก อาจทำให้ยางระเบิดได้
  1. เนื้อยางแข็งกระด้าง:
  • ลองใช้เล็บจิกลงบนหน้ายาง หากเนื้อยางแข็งกระด้าง จิกไม่เข้าเหมือนยางใหม่ๆ แสดงว่ายางเริ่มหมดสภาพแล้ว การยึดเกาะถนนจะลดลง โดยเฉพาะบนพื้นผิวที่เปียก
  1. ยางมีรอยบวม รอยบาด หรือฉีกขาด:
  • ไม่ว่ายางจะใหม่แค่ไหน หากมีรอยบวม นูน หรือถูกบาด/ฉีกขาดลึกถึงโครงสร้างยาง ควรเปลี่ยนทันที เพราะเสี่ยงต่อการระเบิดสูงมาก
  1. สัญญาณผิดปกติจากการขับขี่:
  • รถสั่นสะเทือนผิดปกติ: อาจเกิดจากยางบวม หรือโครงสร้างยางเสียหาย
  • พวงมาลัยสั่น/หนักขึ้น: เป็นสัญญาณว่ายางเริ่มมีปัญหา
  • รถแฉลบง่ายขึ้น โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้งหรือบนถนนเปียก: แสดงว่าดอกยางไม่สามารถรีดน้ำได้ดี หรือเนื้อยางไม่เกาะถนนแล้ว
  • มีเสียงยางหอนดังผิดปกติ: อาจเกิดจากการสึกหรอของดอกยางที่ไม่สม่ำเสมอ หรือยางแข็งกระด้าง
  • ลมยางอ่อนเร็วกว่าปกติ: อาจมีรอยรั่วซึม หรือโครงสร้างยางเริ่มเสื่อมสภาพ

 

 

ภาพโดย Christos Giakkas จาก Pixabay

ปัจจัยที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

  • สภาพอากาศร้อนชื้น: อุณหภูมิสูงและแสงแดดโดยตรงทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
  • การจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน: แสง UV และความร้อนทำลายเนื้อยาง
  • แรงดันลมยางไม่เหมาะสม: ลมยางอ่อนหรือแข็งเกินไป ทำให้ยางสึกหรอไม่สม่ำเสมอและเสื่อมสภาพเร็ว
  • การขับขี่แบบสมบุกสมบัน: ออกตัวกระชาก, เบรกกระทันหัน, เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
  • การบรรทุกน้ำหนักเกินกำหนด: ทำให้ยางรับภาระมากเกินไป
  • การบำรุงรักษาที่ไม่ดี: ไม่มีการสลับยาง, ถ่วงล้อ, ตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด
  • การโดนสารเคมี: น้ำมัน, จาระบี, สารเคมีต่างๆ อาจกัดกร่อนเนื้อยาง

 

 

การตรวจสอบสภาพยางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะยางคือส่วนเดียวที่สัมผัสพื้นถนน และมีความสำคัญโดยตรงต่อความปลอดภัยในการขับขี่ครับ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญที่ร้านยางหรือศูนย์บริการเสมอจะดีที่สุดครับ

Photo Credit : AI Generated

ข่าวที่เกี่ยวข้อง