ควรเปลี่ยนยางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เมื่อไหร่ ใช้ได้นานกี่ปี จะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ

การเปลี่ยนยางรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่ รวมถึงประสิทธิภาพของรถด้วยครับ ในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ยางจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากความร้อนและปัจจัยอื่นๆ ที่ยางต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้นพวกเราทีมงาน TrueID รวบรวมข้อมูลว่าควรเปลี่ยนยางเมื่อไหร่ ใช้ได้นานแค่ไหน และจะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ
อายุการใช้งานโดยประมาณของยางรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์
อายุการใช้งานของยางไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ระยะเวลา" เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ "ระยะทางที่วิ่ง" และ "สภาพการใช้งาน" ด้วย
- ยางรถยนต์:
- ตามระยะทาง: โดยเฉลี่ยแล้วควรเปลี่ยนเมื่อวิ่งไปแล้วประมาณ 50,000 - 80,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อยาง, พฤติกรรมการขับขี่ และสภาพถนน)
- ตามระยะเวลา: ผู้ผลิตยางส่วนใหญ่แนะนำให้เปลี่ยนยางที่ใช้งานไปแล้ว ประมาณ 2-3 ปี หรือ ไม่ควรเกิน 5 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่าจะยังวิ่งได้ไม่ถึงระยะทางที่กำหนด หรือดอกยางยังดูดีอยู่ก็ตาม เพราะเนื้อยางจะเริ่มเสื่อมสภาพ แข็งกระด้าง และสูญเสียคุณสมบัติในการยึดเกาะถนน
- ยางที่ไม่เคยใช้งาน: ยางที่ยังไม่เคยใช้งานและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 5-6 ปี นับจากวันที่ผลิต ก่อนนำมาใช้งาน
- ยางรถมอเตอร์ไซค์:
- ตามระยะทาง: โดยเฉลี่ยประมาณ 10,000 - 20,000 กิโลเมตร
- ตามระยะเวลา: แนะนำให้เปลี่ยนยางที่ใช้งานไปแล้ว ประมาณ 1-2 ปี หรือ ไม่ควรเกิน 3 ปี นับจากวันที่ติดตั้ง (บางข้อมูลระบุไม่ควรเกิน 5 ปี นับจากวันที่ผลิต) เนื่องจากยางมอเตอร์ไซค์สัมผัสถนนมากกว่า มีพื้นที่สัมผัสน้อยกว่า และรับแรงบิดสูงกว่ารถยนต์ ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่า
จะรู้ได้อย่างไรว่ายางหมดอายุ หรือควรเปลี่ยนยางแล้ว?
ภาพโดย Myléne จาก Pixabay
นอกจากการดูที่ระยะทางและระยะเวลาแล้ว สัญญาณที่สำคัญที่สุดคือ สภาพของยาง เองที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าและจากการขับขี่ ดังนี้:
- ดูจาก "วันที่ผลิตยาง" (DOT Number): เป็นวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการตรวจสอบอายุของยาง ยางทุกเส้นจะมีตัวเลข 4 หลักอยู่ในกรอบวงรีที่แก้มยาง (อาจมีคำว่า DOT นำหน้า)
- สองตัวแรก: คือ สัปดาห์ที่ผลิต (เช่น 01-52 สัปดาห์ที่ 1 ถึง 52)
- สองตัวหลัง: คือ ปีที่ผลิต (สองหลักสุดท้ายของปี ค.ศ.)
- ตัวอย่าง: ถ้าเห็นตัวเลข "1523" หมายความว่า ยางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 15 ของปี ค.ศ. 2023
- สังเกต "ดอกยางสึกหรอ" (Tread Wear Indicator - TWI):
- สะพานยาง: ยางทุกเส้นจะมี "สะพานยาง" เป็นปุ่มนูนเล็กๆ อยู่ในร่องดอกยาง หากดอกยางสึกหรอจนอยู่ในระดับเดียวกันกับสะพานยาง แสดงว่ายางนั้นหมดอายุการใช้งานแล้ว และประสิทธิภาพในการรีดน้ำและยึดเกาะถนนจะลดลงอย่างมาก
- ความลึกของดอกยาง: ดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร หากเหลือความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร (สำหรับรถยนต์) หรือ 2 มิลลิเมตร (สำหรับมอเตอร์ไซค์บางรุ่น) ถือว่าอันตรายมากและควรเปลี่ยนทันที
- เนื้อยางมี "รอยแตกลายงา" หรือ "รอยร้าว":
- เกิดจากยางเสื่อมสภาพจากการโดนแสงแดด ความร้อน และการใช้งานนานๆ หากมีรอยแตกร้าวเล็กๆ น้อยๆ อาจยังพอใช้ได้ แต่ถ้าแตกลายงาเป็นวงกว้าง ลึก หรือพบรอยร้าวตามแก้มยาง แสดงว่าเนื้อยางเสื่อมสภาพมาก อาจทำให้ยางระเบิดได้
- เนื้อยางแข็งกระด้าง:
- ลองใช้เล็บจิกลงบนหน้ายาง หากเนื้อยางแข็งกระด้าง จิกไม่เข้าเหมือนยางใหม่ๆ แสดงว่ายางเริ่มหมดสภาพแล้ว การยึดเกาะถนนจะลดลง โดยเฉพาะบนพื้นผิวที่เปียก
- ยางมีรอยบวม รอยบาด หรือฉีกขาด:
- ไม่ว่ายางจะใหม่แค่ไหน หากมีรอยบวม นูน หรือถูกบาด/ฉีกขาดลึกถึงโครงสร้างยาง ควรเปลี่ยนทันที เพราะเสี่ยงต่อการระเบิดสูงมาก
- สัญญาณผิดปกติจากการขับขี่:
- รถสั่นสะเทือนผิดปกติ: อาจเกิดจากยางบวม หรือโครงสร้างยางเสียหาย
- พวงมาลัยสั่น/หนักขึ้น: เป็นสัญญาณว่ายางเริ่มมีปัญหา
- รถแฉลบง่ายขึ้น โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้งหรือบนถนนเปียก: แสดงว่าดอกยางไม่สามารถรีดน้ำได้ดี หรือเนื้อยางไม่เกาะถนนแล้ว
- มีเสียงยางหอนดังผิดปกติ: อาจเกิดจากการสึกหรอของดอกยางที่ไม่สม่ำเสมอ หรือยางแข็งกระด้าง
- ลมยางอ่อนเร็วกว่าปกติ: อาจมีรอยรั่วซึม หรือโครงสร้างยางเริ่มเสื่อมสภาพ
ภาพโดย Christos Giakkas จาก Pixabay
ปัจจัยที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- สภาพอากาศร้อนชื้น: อุณหภูมิสูงและแสงแดดโดยตรงทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
- การจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน: แสง UV และความร้อนทำลายเนื้อยาง
- แรงดันลมยางไม่เหมาะสม: ลมยางอ่อนหรือแข็งเกินไป ทำให้ยางสึกหรอไม่สม่ำเสมอและเสื่อมสภาพเร็ว
- การขับขี่แบบสมบุกสมบัน: ออกตัวกระชาก, เบรกกระทันหัน, เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
- การบรรทุกน้ำหนักเกินกำหนด: ทำให้ยางรับภาระมากเกินไป
- การบำรุงรักษาที่ไม่ดี: ไม่มีการสลับยาง, ถ่วงล้อ, ตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด
- การโดนสารเคมี: น้ำมัน, จาระบี, สารเคมีต่างๆ อาจกัดกร่อนเนื้อยาง
การตรวจสอบสภาพยางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะยางคือส่วนเดียวที่สัมผัสพื้นถนน และมีความสำคัญโดยตรงต่อความปลอดภัยในการขับขี่ครับ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญที่ร้านยางหรือศูนย์บริการเสมอจะดีที่สุดครับ
Photo Credit : AI Generated