รีเซต

หุ้นไทย “ฟื้นหรือฟุบ” หลังปรับครม.ใหม่  เช็กเลย!

หุ้นไทย “ฟื้นหรือฟุบ” หลังปรับครม.ใหม่  เช็กเลย!
TNN ช่อง16
5 กรกฎาคม 2568 ( 12:11 )
20

อุณหภูมิการเมืองไทยร้อนระอุ !  หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์  7 ต่อ 2 เสียง  รับคำร้องคดี สว. ขอถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  หลังปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “นายกฯ - ฮุน เซน”หลุด   โดยศาลฯ สั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย  ซึ่งผู้ถูกร้องยื่นคำร้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

โดยวันเดียวกันมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว หนุนดัชนีหุ้นไทยพลิกปิดพุ่ง 20.45 จุด เพิ่มขึ้น 1.88%  แตะที่ระดับ  1,110.01 จุด  ด้วยมูลค่าซื้อขาย   41,714.05 ล้านบาท  เนื่องจากข่าวดังกล่าวสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน หลังจากอึมครึมมานานส่งผลด้านจิตวิทยาเชิงบวกทำให้ตลาดคลายความกังวลการยกระดับความรุนแรงการชุมุนม และตลาดคาดหวังจะมีนโยบายใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น

หากย้อนดูฟันโฟล์ว ตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านและตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ต่างชาติขายหุ้นอินโดนีเซียมากสุด 511 ล้านเหรียญสหรัฐ  ตลาดหุ้นไทย 244  ล้านเหรียญสหรัฐ   ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ   ตลาดหุ้นเวียดนาม 44 ล้านเหรียญสหรัฐ   ซึ่งเอเชียใต้ถูกขายสุทธิ ขณะที่เอเชียเหนือซื้อสุทธิ โดยตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเป็นช่วงการเมืองร้อนแรง  เกิดประเด็นคลิปเสียงหลุด และดัชนีทั้ง MSCI,   FTSE Rebalancing ปรับดัชนีเข้า-ออกรอบใหม่เป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย

 ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ได้ครม.ใหม่จะกลับมาฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน ในวันนี้  TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

 เริ่มจาก“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ทีผ่านมาปรับขึ้น 4%  ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ขึ้นแรงสุดของปีนี้ หลังจาก 4 ปัจจัยคลี่คลาย ทั้งเรื่องสงครามในตะวันออกกลาง การเดินหน้าเจรจาเรื่องภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา และการเมืองนอกสภาผ่อนลงไป หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปมคลิปเสียงหารือกับนายฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาหลุด และสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งต้องรอดูว่าผลการตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไร

ถ้าหากให้นายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ก็ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ขึ้นมาแทน  แต่ถ้านายกฯลาออก พรรคประชาชนฝ่ายค้าน เสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยที่ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งทำให้มีเสียงทั้งหมด 234 เสียง หายไป 14 เสียง จากนั้นเดินหน้าสู่การยุบสภาภายในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ต่อหรือฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนก็เป็นไปตามกลไกรัฐสภาลดแรงกดดันผู้ชุมนุมและรัฐประหาร  แต่หากศาลฯตัดสินให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อก็รัฐบาลก็บริหารประเทศตามระบบต่อไป

โดยในช่วงที่การเมืองร้อนแรงเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 17.33 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปกติเม็ดเงินจากตลาดหุ้นจะมากกว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ นอกจากนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) อายุ 1-5 ปีอยู่ระดับต่ำกว่า 1.5% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% แสดงให้เห็นว่าเงินไหลเข้าตราสารหนี้ไทย หรือสินทรัพย์ปลอดภัยมากเกินไป ดังนั้นเชื่อว่าหากสถานการณ์ในประเทศและนอกประเทศคลี่คลายจะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน และส่งผลให้เม็ดเงินจากตลาดพันธบัตรจะไหลกลับมาที่ตลาดหุ้นมากขึ้น ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังแกว่งไซด์เวย์อัพ  กรอบเคลื่อนไหว 1,100 จุด ถึง 1,160 จุด

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นปันผล เพราะเม็ดเงินมีโอกาสไหลจากพันธบัตรมาหุ้นปันผลมากขึ้น โดย SET ให้ปันผลประมาณ 4.5% ขณะที่บอนด์ยีลด์ 1 ถึง 5 ปี ให้ผลตอบแทนกว่าฝากเงิน หรือไม่ถึง 1.5% 

  • M จัดโปรโมชั่น 229 บาทดึงลูกค้าทำให้มีรายได้เติบโตในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปันผล 9% ต่อปี

  • SC ราคาหุ้นลงมาเยอะ  โดยมีการพรีเซล (Presale) มีสัญญาณฟื้น ปันผล 8% ต่อปี

  • TU ราคาหุ้นปรับขึ้นน้อยกว่าบริษัทลูกมีโอกาสฟื้นตัว ปันผล 7% ต่อปี

  • KTC   ราคาลงลึกหลังถูกวางค้ำประกันในบัญชีมาร์จิ้น คาดว่าจะฟื้นตัว  ปันผล 5 % ต่อปี

 

หุ้นมีกระแสบวกเฉพาะตัว 

  • STECON  ได้ประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนขั้นทางการเมือง ราคาเป้าหมาย 18.80 บาท

  • BCH       จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจเติบโต 2 หลัก YOY

  • ERW  การชุมนุมลดลง คาดคนจีนหันมาเที่ยวไทยมากขึ้น 

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือการผ่อนผันภาษีอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งต้องดูว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเท่าไหร่ จากเดิมที่กำหนดไว้ 36%  โดยตลาดมองว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีจากไทยประมาณ 15-25% หากอยู่ในระดับนี้เชื่อว่าตลาดยังรับได้ แต่ถ้าเกิน 25% ตลาดจะผันผวน และถ้าสหรัฐฯคงเก็บภาษีสูง 36% จะทำให้ตลาดปั่นป่วนหนัก

แต่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า อาจจะเก็บภาษีตามขั้นบันได หรืออาจขยายเวลาต่อรองให้อีก 90 วัน ซึ่งหากสหรัฐฯไม่ผ่อนปรนให้ไทยเก็บภาษี 36% เลยอาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยต่ำกว่า 1,000 จุด

 

ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA , CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี  ประเมินว่า  หุ้นไทยสัปดาห์หน้าแกว่ง  ไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ แรงหนุนจากพัฒนาการการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป โดยให้โอกาส 65% คาดไทยจะได้ดีลใกล้เคียงหรือดีกว่าประเทศศักยภาพใกล้กัน ซึ่งอิงกรณีเวียดนามที่สหรัฐฯ เน้นความเสี่ยงสินค้าสวมสิทธิ์  และสหรัฐฯกังวลประเด็นดังกล่าวกับไทยในระดับต่ำกว่าเวียดนาม

 โดย  SET ฟื้นตัวช่วงสหรัฐฯ ผ่อนผันภาษี 9 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นอันลำดับต้น ๆ ของโลก ช่วยจำกัด Downside  ประเมินแนวต้านแรกที่1,134 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,145จุด แนวรับ 1,104 จุด แนวต้านที่ 1,094จุด

ส่วนกลยุทธ์การลงทุให้น้ำหนัก หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง (เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า High Yield และหนี้สูง) และหุ้น Reopening Trade  ที่ลักษณะของดีลการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอนในส่วนการที่ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพื่อผลิตและจำหน่าย (โรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, เทคฯ) และกลุ่มที่ยัง Undervalue นิคม, China Plays

•  ADVANC(TP-350)  กำไร 2Q25F เด่น   การต่อรองไทยนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่ม หากครอบคลุมสินค้าเทคฯ จะบวกต่อต้นทุน

 •  GULF(TP-56.5)   มองหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย

•  PTTGC (TP-28) Deep Value   ลุ้นภาพบวกจีน  ได้ประโยชน์หากนำเข้าก๊าซาสหรัฐฯเพิ่ม

 ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม

 

  •  บทสรุปการเจรจาการค้าไทย – สหรัฐฯ คาดตลาดเน้น 2 ประเด็น 1. ข้อสรุปก่อนมาตรการผ่อนผันสิ้นสุด 9 ก.ค. 2. ข้อเสนอที่ได้ vs ประเทศศักยภาพใกล้กัน เช่น เวียดนาม เราให้โอกาส 65% ไทยได้ข้อเสนอใกล้กัน - ดีกว่า คาดหนุนโมเมนตัมหุ้น Reopening Trade ที่ลักษณะของดีลการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอนในส่วนการที่ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (เทคโนโลยี, กลุ่มนำเข้าสินค้ามาจำหน่าย/ผลิต, China Plays, นิคม)
  • 7 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. คาดเงินเฟ้อทั่วไป -0.1%y-y  จากเดิม  -0.57%y-y, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +1.1%y-y  จากเดิมอยู่ที่  +1.09%y-y
  •   7-11 ก.ค. ร่างกฎหมายที่รัฐฯต้องการผลักดันเข้าสภา เราแนะจับตาร่างกฎหมายเกี่ยวข้องกับการผลักดันรถไฟฟ้า 20 บาท บวกต่อหุ้นรถไฟฟ้า อสังหาฯ  ค้าปลีก 
  •  9 ก.ค. รายงานการประชุม FOMC รอบเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด  
  •  9 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย ของจีน คาด +0.0%y-y เท่าเดือนก่อน และเงินเฟ้อ PPI มิ.ย. คาด -3.1%y-y จากเดิมอยู่ที่ -3.3%y-y 

ปิดท้ายที่  “วิลาสินี บุญมาสูงทรง”  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าปรับตัวลง  เนื่องจากการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอน  หลังปรับครม.ใหม่ รัฐบาลขาดเสถียรภาพ การดำเนินนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 ที่อยู่ระหว่างพิจารณาอาจล่าช้าขณะที่ผลการเจรจาภาษียืดเยื้อกดดันตลาดหุ้นไทยมองกรอบดัชนีที่ 1,100-1,140 จุด   

 ประเด็นที่ต้องติดตาม

  • 4 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนพ.ค.
  • 8 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ค.
  • 8 ก.ค. สหรัฐ รายงานการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนมิ.ยิ
  • 8 ก.ค.และ 15 ก.ค. ศาลฎีกานัดสอบพยานคดีชั้น 14
  • 9 ก.ค. ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิง
  • 9 ก.ค. จีน รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และดัชนี
  • ราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
  • 10 ก.ค. เฟดเปิดเผยรายงานการประชุนที่ 17-18 มิ.ย.
  • 10 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
  • 29-30 ก.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งที่ 4/68
  • กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ
  • สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค,
  •  สหรัฐ รายงานสด็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค. และสด็อก

 กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น 

  • COCOCO “ซื้อเก็งกำไร” Bloomberg consensus  ประเมินราคาเป้าหมาย 8.05 บาท    คาดผลประกอบการ 2Q68 เติบโต QoQ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจเครื่องดื่ม ประกอบกับบริษัทได้ปรับเพิ่มราคาขายสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม แต่คาดจะยังชะลอตัว YoY เนื่องจากต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามต้นทุนวัตถุดิบเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น จากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้น ทำให้ราคามะพร้าวลดลง

  •  TISCO  "ถือ" ราคาเหมาะสม   99 บาท   โดยBloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 เฉลี่ย 6,487 ล้านบาท หดตัว 6%YoY แต่การถือหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูงเกือบ 8% แม้ว่า แนวโน้มกำไร 2Q68 ลดลง 11%YoY และลดลง 5%QoQ เหลือ 4,857 ล้านบาทเนื่องจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยอ่อนตัวลงจาก NIM แคบลง 2. รายได้ค่าธรรมเนียมยังแผ่วตามภาวะตลาดทุนที่ซบเซา 3.NPL และ credit cost มีโอกาสสูงขึ้น

 แม้ว่านักลงทุนจะคลายกังวลในระดับหนึ่งต่อการเมืองในประเทศ แต่ปัจจัยที่ใหญ่กว่า ซึ่งทุกคนต้องเฝ้าจับตาใกล้ชิด คือการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯว่าจะออกมาอย่างไร โดยผลเจรจาจะเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป....

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง