12 แนวทางดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ช่วงหน้าฝน ต้องทำอะไรบ้าง อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล รู้ไหมคะว่า ความสำคัญของการดูแลบ้านของเรานั้น ไม่ใช่ว่าคือความสะอาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การรู้ว่าต้องทำอะไรตอนไหนบ้างต่างหาก คือจุดสำคัญที่ทำให้เราสามารถจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านได้อย่างลงตัว ซึ่งในช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักติดต่อกันหลายวัน ที่ในบางครั้งท้องฟ้าก็ปิดยาวนานต่อเนื่อง จึงทำให้หลายบ้านเจอว่าสิ่งแวดล้อมภายในบ้านเปลี่ยนไป ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดจากว่าเรามองภาพไม่ออกด้วยว่าต้องทำอะไรนะคะ ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจะมาบอกต่อว่า ในช่วงที่ฝนตกหนักเราต้องทำอะไรในฐานะเจ้าของบ้าน หากจะดูแลจัดการบริเวณรอบๆ บ้าน จุดไหนคือจุดที่เราต้องไปโฟกัส โดยเมื่ออ่านจบแล้วคุณผู้อ่านจะมองภาพออกมากขึ้น และเข้าใจว่าจะต้องเริ่มจากส่วนไหนก่อนนะคะ ถ้าอยากรู้แล้วว่ามีอะไรบ้างต้องทำ งั้นก็อ่านต่อกันเลยดีกว่าค่ะ กับแนวทางดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้ 1. แยกขยะเปียกและขยะแห้ง รู้ไหมคะว่า หน้าฝนก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะได้เริ่มต้นดูแลสิ่งแวดล้อมจากที่บ้านของเราได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องการแยกขยะเปียกและขยะแห้ง หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่รู้ไหมคะว่าการแยกขยะคือหัวใจสำคัญ! ลองนึกภาพขยะเปียก เช่น เศษอาหาร ที่หากไม่แยกก็จะส่งกลิ่นเหม็น ดึงดูดแมลง และทำให้ขยะแห้งอื่นๆ เปื้อนไปด้วย ยิ่งถ้าเราไม่แยกแล้วทิ้งรวมกันหมด ขยะเหล่านี้ก็จะไปกองรวมกันที่บ่อขยะ ซึ่งใช้เวลาในการย่อยสลายนานมาก และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนอีกด้วย การแยกขยะเปียกไปทำปุ๋ยหมัก หรือแยกขยะแห้งที่รีไซเคิลได้ ก็จะช่วยลดปริมาณขยะ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบบ้านเราสะอาดและน่าอยู่ขึ้น แค่เริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ ใกล้ตัวแบบนี้ ก็ถือว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลโลกของเราแล้วค่ะ 2. ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศและพัดลม หลายคนยังไม่รู้ว่า หน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่เรามักจะใส่ใจเรื่องน้ำท่วมหรือความชื้นในบ้าน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักมองข้ามไปคือการดูแลเครื่องปรับอากาศและพัดลม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมภายในบ้านของเราให้สะอาดและเหมาะสมมากขึ้น จากที่การทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศและพัดลมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน จะช่วยลดการสะสมของฝุ่นละออง เชื้อราและจุลินทรีย์ชนิดอื่น ที่อาจปะปนอยู่ในอากาศและส่งผลเสียต่อสุขอนามัยของเราได้ ไม่เพียงเท่านั้นการดูแลอุปกรณ์เหล่านี้ยังช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และยืดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นการช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย การเริ่มต้นดูแลสิ่งแวดล้อมจากจุดเล็กๆ ในบ้านของเราแบบนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อโลกที่ดีขึ้นค่ะ 3. ทำความสะอาดรางน้ำฝนและท่อระบายน้ำ คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การปล่อยให้เศษใบไม้ ดินโคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ อุดตันอยู่ในรางน้ำและท่อระบายน้ำ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังรอบบ้านได้ แต่ยังสร้างความสกปรก และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายด้วย ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศเล็กๆ ในบ้านเราด้วยค่ะ เมื่อน้ำไม่สามารถไหลลงสู่ระบบระบายน้ำได้อย่างปกติ ก็จะทำให้เกิดปัญหาการอุดตัน และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งการสละเวลาเพียงเล็กน้อยในการดูแลทำความสะอาดส่วนนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมและรักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้ถูกสุขลักษณะ แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วยนะค่ะ 4. เตรียมอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม การเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำท่วมขังที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านของเราก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันค่ะ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาน้ำท่วมในเมืองใหญ่ หรือแม้แต่ในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ก็เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิดค่ะ และที่สำคัญคือสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราด้วย ดังนั้นการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมอย่างกระสอบทราย หรืออุปกรณ์กั้นน้ำต่างๆ ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องทรัพย์สินภายในบ้าน แต่ยังช่วยลดภาระการระบายน้ำของพื้นที่โดยรวม ซึ่งเป็นการช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางอ้อมอีกด้วย ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าทุกบ้านเตรียมพร้อมรับมือได้ดีขึ้น ปริมาณน้ำท่วมขังบนถนนก็จะลดลง การจราจรไม่ติดขัด และขยะที่ไหลมากับน้ำก็จะลดลงไปด้วย 5. ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น ช่วงหน้าฝนที่อากาศเย็นสบาย หลายคนอาจเผลอเปิดไฟทิ้งไว้ หรือเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวันโดยไม่จำเป็น รู้ไหมคะว่าพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ กลับส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล เพราะการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากเกินไป หมายถึงการที่โรงไฟฟ้าต้องผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เป็นตัวการสำคัญของมลพิษทางอากาศและภาวะโลกร้อน การลดการใช้พลังงานในช่วงหน้าฝนช่วยกัน จึงไม่ใช่แค่การประหยัดค่าไฟในบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับโลกของเราไปในตัวด้วยค่ะ การลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ เช่น ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน หรือเลือกเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับอากาศในวันที่อากาศดี เพียงแค่นี้เราก็เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อม และทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นได้แล้วล่ะค่ะ! 6. ตรวจสอบรอยรั่วซึมของหลังคาและผนัง สิ่งหนึ่งที่หลายบ้านอาจมองข้ามไป คือ การตรวจสอบรอยรั่วซึมของหลังคาและผนังบ้าน เพราะหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้น้ำหยดลงมาเท่านั้น แต่รู้หรือไม่คะว่าการปล่อยให้บ้านมีรอยรั่วซึม ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างบ้าน เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางอ้อมอีกด้วย เพราะน้ำที่ซึมเข้ามาอาจทำให้เกิดความชื้นสะสม ซึ่งเป็นแหล่งเพาะจุลินทรีย์ที่ส่งผลเสียต่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย และยังเป็นการเพิ่มภาระในการทำความสะอาดและการบำรุงรักษาบ้าน ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ เพิ่มขึ้น การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการตรวจสอบและอุดรอยรั่วซึมของหลังคาและผนัง จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ที่ไม่ใช่แค่ช่วยประหยัดเงินในระยะยาวจากการซ่อมแซมใหญ่ แต่ยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ถูกสุขลักษณะ และช่วยลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็นด้วยค่ะ 7. ระบายอากาศภายในบ้าน การที่บ้านปิดทึบในช่วงหน้าฝน ไม่เพียงทำให้รู้สึกอับชื้น ไม่สบายตัว แต่ยังเป็นแหล่งสะสมของจุลินทรีย์ที่ส่งผลเสียต่อสุขอนามัยของเราโดยตรง และยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในบ้านอีกด้วย เพราะความชื้นที่สะสมอาจทำให้เฟอร์นิเจอร์เสียหาย หรือข้าวของเครื่องใช้มีกลิ่นอับ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็อาจกลายเป็นขยะที่ต้องทิ้งไป การเปิดหน้าต่าง ประตู หรือใช้พัดลมช่วยระบายอากาศเป็นประจำ ไม่เพียงช่วยไล่ความอับชื้น เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้ไหลเวียนในบ้าน แต่ยังช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศ และลดการสะสมของสิ่งสกปรกต่างๆ ทำให้เราอยู่ในบ้านได้อย่างสบายใจ และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ดีขึ้นด้วยค่ะ ดังนั้นอย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ อย่างการระบายอากาศเด็ดขาด เพราะสามารถส่งผลใหญ่ต่อคุณภาพชีวิตของเรานะคะ 8. ปลูกต้นไม้ดูดซับความชื้น หลายคนอาจจะยังมองไม่ออกว่า หน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่หลายบ้านต้องเผชิญกับปัญหาความอับชื้นภายในบ้าน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังเป็นแหล่งสะสมของจุลินทรีย์ด้วย และยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในบ้านด้วยค่ะ แต่รู้ไหมคะว่ามีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ นั่นคือการปลูกต้นไม้ดูดซับความชื้น! ต้นไม้บางชนิด เช่น ต้นลิ้นมังกร พลูด่าง หรือว่านหางจระเข้ ไม่เพียงแต่ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ แต่ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยลดความชื้นในอากาศได้ดีอีกด้วย การนำต้นไม้เหล่านี้มาปลูกไว้ในบ้าน ไม่เพียงช่วยให้บ้านของเราสดชื่น มีชีวิตชีวา และลดกลิ่นอับชื้น แต่ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศในบ้าน และยังช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้น ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระให้กับโลกของเราไปในตัวด้วยค่ะ 9. ดูแลต้นไม้รอบบ้าน ช่วงหน้าฝนที่ต้นไม้รอบบ้านดูเขียวชอุ่มเป็นพิเศษ หลายคนอาจคิดว่าธรรมชาติจัดการตัวเองได้ แต่จริงๆ แล้ว การดูแลต้นไม้ในช่วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อทั้งความสวยงามของบ้านและสิ่งแวดล้อมโดยรวมค่ะ เพราะการที่ต้นไม้ที่ร่มครึ้มหรือมีกิ่งก้านสาขามากเกินไป อาจเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังรอบบ้าน ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงและสัตว์พาหนะนำความเจ็บป่วยมาสู่คนได้ และยังเป็นสาเหตุของความชื้นในบ้านได้อีกด้วย นอกจากนี้กิ่งไม้ที่เปราะบางอาจหักโค่นลงมาสร้างความเสียหายในช่วงลมแรง ดังนั้นการหมั่นตัดแต่งกิ่งไม้ ใบไม้ที่รกทึบ หรือกิ่งที่แห้งตายออก ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ยังช่วยให้ต้นไม้ได้รับแสงแดดและอากาศเพียงพอ ทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นการดูแลต้นไม้ให้แข็งแรงยังช่วยเพิ่มความร่มรื่น ลดความร้อนให้บ้าน และยังช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งเป็นการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนคะ 10. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย สิ่งที่เราต้องระวังเป็นพิเศษนอกจากการเดินทางหรือน้ำท่วมแล้ว ก็คือยุงลายตัวร้ายที่นำความเจ็บป่วยมาสู่คนในบ้านได้ค่ะ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องของการป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังเชื่อมโยงกับการดูแลสิ่งแวดล้อมของเราด้วย การปล่อยให้น้ำขังในภาชนะต่างๆ รอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์เก่า จานรองกระถางต้นไม้ หรือภาชนะที่ไม่ได้ใช้ ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งวางไข่ของยุงลาย แต่ยังเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกอื่นๆ และสร้างความไม่น่าดูให้กับบริเวณบ้านอีกด้วยค่ะ ซึ่งการหมั่นเทน้ำทิ้ง คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ หรือปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้สนิทเป็นประจำ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของคนในบ้าน แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะน้ำขัง และทำให้บริเวณรอบบ้านสะอาดตา ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ถูกสุขลักษณะและน่าอยู่ยิ่งขึ้นค่ะ ดังนั้นอย่ารอช้า! แต่ให้มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้บ้านของเราปลอดภัยจากยุงลาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันนะคะ 11. ทำความสะอาดพรมและผ้าต่างๆ หน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่หลายบ้านมักเผชิญกับปัญหาความอับชื้นภายในบ้าน ซึ่งไม่ได้ส่งผลแค่ให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อพรม ผ้าม่าน โซฟาผ้า หรือเครื่องนอนต่างๆ ได้อีกด้วยค่ะ การปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยด้วย นอกจากนี้การสะสมของความชื้นในเส้นใยผ้า ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมภายในบ้านในระยะยาว ทำให้สิ่งของเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจต้องทิ้งไปก่อนเวลาอันควร ซึ่งเป็นการสร้างขยะเพิ่มขึ้น การหมั่นทำความสะอาดพรม ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือผ้าม่านให้บ่อยขึ้น ในช่วงหน้าฝน หรือนำไปผึ่งแดดอ่อนๆ เมื่อมีโอกาส ไม่เพียงช่วยลดกลิ่นอับชื้น แต่ยังช่วยกำจัดจุลินทรีย์ ไรฝุ่น และสิ่งสกปรกต่างๆ ทำให้บ้านของเราน่าอยู่ สดชื่น และเป็นสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ของทุกคนในครอบครัวค่ะ 12. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในช่วงหน้าฝนที่บ้านของเราอาจเผชิญกับความอับชื้น จุลินทรีย์หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ทำให้เราต้องทำความสะอาดบ้านบ่อยขึ้น หลายคนอาจหยิบจับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีกลิ่นหอมแรง หรือคิดว่ายิ่งแรงยิ่งสะอาด แต่รู้ไหมคะว่าสารเคมีรุนแรงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขอนามัยของเราเท่านั้น แต่ยังไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ที่สามารถเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมอีกด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly) หรือที่มักระบุว่า "ย่อยสลายได้ง่าย" "ไร้สารเคมีอันตราย" หรือ "ผลิตจากธรรมชาติ" จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามากค่ะ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้บ้านสะอาดและปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างเท่านั้น แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล เพราะเมื่อน้ำเสียจากการทำความสะอาดไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ สารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายเหล่านี้ก็จะย่อยสลายไปตามธรรมชาติ และไม่ไปสะสมในสิ่งแวดล้อมค่ะ และทั้งหมดนั้นคือแนวทางดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านของเราช่วงที่มีฝนตกหนักค่ะจะเห็นได้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะไปหมดเลย ใช่ไหมคะ? ที่ดูเหมือนจะเป็นรายการสิ่งที่ต้องทำยาวเหยียดเลย จนคนที่ไม่ค่อยมีเวลาอาจจะถอดใจไปก่อน แต่จริงๆ แล้ว การดูแลไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียวเลยค่ะ เราสามารถค่อยๆ ทยอยทำไปทีละส่วน หรือเลือกทำสิ่งที่สำคัญและส่งผลกระทบมากที่สุดก่อนได้ เช่น เริ่มจากการตรวจสอบรอบบ้านเพื่อกำจัดแหล่งน้ำขังที่อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย หรือหาเวลาตัดแต่งกิ่งไม้ที่อาจเป็นอันตรายในช่วงลมแรง ทุกการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ล้วนส่งผลดีต่อทั้งบ้านของเราและสิ่งแวดล้อมโดยรวมค่ะ ซึ่งการดูแลบ้านและสิ่งแวดล้อมในช่วงหน้าฝน จึงไม่ใช่เรื่องของการต้องทำนะคะ แต่เป็นเรื่องของการเลือกที่จะทำในสิ่งที่ทำได้และสะดวกกับตัวเรามากที่สุด อาจจะแบ่งงานออกเป็นช่วงๆ หรือให้สมาชิกในครอบครัวช่วยกันทำคนละไม้คนละมือก็ได้ การเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ใช้ หรือการระบายอากาศในบ้านให้เพียงพอ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ อย่ากดดันตัวเองว่าต้องสมบูรณ์แบบ เพราะเป้าหมายสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยให้กับบ้านของเราในระยะยาว ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะส่งผลดีต่อโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ เพราะว่าผู้เขียนก็ได้ทำแบบนั้นเหมือนกันนะคะ โดยไม่ได้ใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำความสะอาดภายในบ้าน หรือไม่ได้เสียเวลาทั้งวันไปกับการทำความสะอาดรางรับน้ำเสีย แต่จะเป็นการแบ่งงานออกทำในช่วงที่จำเป็นค่ะ เพราะถ้าฝนตกหนักมากๆ สำหรับที่นี่รางรับน้ำมักสะอาด เพราะน้ำฝนไหลนองช่วยชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ค่ะ สำหรับการระบายอากาศผู้เขียนทำเป็นปกติในทุกฤดูกาลอยู่แล้วนะคะ และถ้าพูดถึงเรื่องการลดการใช้พลังงานนั้น เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่เคยลืมค่ะ โดยมักเปิดพัดลมและเปิดรับอากาศเย็นสบายในช่วงหลังฝนตกค่ะ โดยแนวทางต่างๆ ข้างต้นคุณผู้อ่านก็สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้นะคะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Kireyonok_Yuliya จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1-3 โดยผู้เขียน, ภาพที่ 2 โดย Freepik จาก FREEPIK และภาพที่ 4 โดย Freepik จาก FREEPIK เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 วิธีลดการใช้ฟอยล์อะลูมิเนียม สำหรับย่างอาหาร ทำยังไงแทนได้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีลักษณะเป็นแบบไหน 8 ข้อควรระวัง ในการใช้ยาจุดกันยุงแบบขด ภายในบ้าน ที่ควรรู้ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !