รีเซต

เมื่อจีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทค

เมื่อจีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทค
TNN ช่อง16
10 ธันวาคม 2568 ( 20:57 )
15

เล็ก เบา บาง เหนียว แข็ง และอื่นๆ ยิ่งกว่า กลายเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมการผลิตของโลกกำลังถวิลหา ทั้งนี้ ในช่วงหลายสิบที่ผ่านมา โลกหันมาให้ความสำคัญกับ “นาโนเทคโนโลยี” (Nanotechnology) ที่เป็นกระบวนการที่ผสมผสานความก้าวหน้าด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวัสดุศาสตร์เข้าด้วยกัน มากขึ้นโดยลำดับ 

จีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสนใจกับการพัฒนาเรื่องนี้ทั้งระบบนิเวศ และอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทคอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเห็นได้จากความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จีนทำได้อย่างไร เราตามไปส่องกัน ...

ประการแรก ความก้าวหน้าด้านสิทธิบัตรและนวัตกรรม ย้อนกลับไปในยุคเปิดประเทศสู่โลกภายนอก รัฐบาลจีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง ได้กำหนดกรอบยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาจีน “4 ทันสมัย” (4 Modernizations) ซึ่ง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” นับเป็น 1 ใน 4 ของความทันสมัยเพื่อปูพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลังจากนั้น เราก็เห็นจีนดำเนินโครงการใหม่ๆ มากมาย อาทิ “โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งชาติ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โครงการ 863” (เริ่มต้นเดือนมีนาคม 1986) ซึ่งนำไปสู่แผนการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง (Hi-Tech Development Plan) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวัสดุใหม่และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีระดับสูงของจีน 

ผมขอเรียนก่อนว่า ในยุคก่อนเปิดประเทศสู่ภายนอก จีนอาจมีประสบการณ์เชิงลบกับการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียตในระดับที่สูง จึงมีความคิดที่อยากจะปูพื้นฐานและพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงของตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตในระยะยาว โดยในระหว่างปี 1990-2002 โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนโครงการนาโนเทคมากกว่า 1,000 โครงการ 

ภายหลังความสำเร็จของโครงการ 863 จีนก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “การวิจัยขั้นพื้นฐาน” มากขึ้นผ่าน “โครงการวิจัยขั้นพื้นฐานแห่งชาติ” (National Basic Research Program) หรือ “โครงการ 973” (เริ่มเมื่อเดือนมีนาคม 1997) 

และตามมาด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์นาโนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” (National Center for NanoScience and Technology) ขึ้นเป็นสถาบันวิจัยขั้นพื้นฐานและเชิงประยุกต์ด้านนาโนเทคเมื่อปลายปี 2003 ในย่านไฮเทคพาร์กจงกวนชุน (Zhongguancun Hi-Tech Park) ณ กรุงปักกิ่ง และองค์กรเฉพาะทางเพื่อช่วยวางแผนและดำเนินการด้านวิชาการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมนาโนเทค โดยเฉพาอย่างยิ่งคณะกรรมการกำกับด้านวิทยาศาสตร์และนาโนเทคแห่งชาติ (National Steering Committee for NanoScience and NanoTech)

ภายหลังการดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง นาโนเทคก็กลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ดังจะเห็นได้จากการบรรจุในแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะกลางและระยะยาวแห่งชาติของจีน (2006-2020) 

ประการสำคัญ ในปี 2015 รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ “วัสดุใหม่” (New Materials) เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้นโยบาย Made in China 2025 มณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และกวางตุ้งกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมนาโนเทคที่สำคัญของจีนในปัจจุบัน

โดยหนึ่งในโครงการใหญ่ได้แก่ การลงทุนจัดตั้ง “สถาบันนาโนเทคโนโลยีและนาโนไบโอนิกส์แห่งซูโจว” (Suzhou Institute of Nano-Tech and Nano-Bionics)

SINANO อยู่ภายใต้สถาบันวิทยาศาสตร์จีน (China Academy of Sciences) ที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยแบบสหวิทยาการด้านอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ และวัสดุศาสตร์ใน “นาโนโพลิส” (NanoPolis) ซึ่งจัดเป็นเขตอุตสาหกรรมนาโนเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ซูโจว มณฑลเจียงซู 

ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพและล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Vacuum Interconnected Nanotech Workstation “Nano-X” ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมการเติบโตของวัสดุ การผลิตอุปกรณ์และลักษณะภายใต้สภาพแวดล้อมสูญญากาศสูงพิเศษ (Ultra-High Vacuum) ซึ่งช่วยป้องกันการปนเปื้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยนาโนวิทย์และนาโนเทค ส่งผลให้ซูโจวได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งนาโนเทคของจีน” ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2000-2025 จีนได้จดสิทธิบัตรด้านนาโนเทคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 จีนครองสัดส่วนคิดเป็นถึง 43% ของจำนวนสิทธิบัตรนาโนเทคโดยรวมของโลก โดยมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติจำนวนราว 464,000 ฉบับจากทั้งหมด 1.07 ล้านฉบับ จำนวนดังกล่าวสูงกว่าผลรวมของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก 

ทั้งนี้ สิทธิบัตรของจีนมุ่งเน้นไปในด้านหลักๆ ได้แก่ อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ชีวการแพทย์ และเคมีเร่งปฏิกิริยา รวมทั้งวัสดุใหม่

โดย CAS ถือเป็นองค์กรชั้นนำที่ถือจำนวนสิทธิบัตรในด้านนี้ที่มากสุดในโลกที่ราว 23,400 ฉบับ และยังมีสถาบันเฉพาะทางภายใต้ CAS ราว 20 แห่ง และมหาวิทยาลัยกว่า 50 แห่งที่เป็นกลไกสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม 

อาทิ ศูนย์วิจัยด้านวิศวกรรมศาสตร์สำหรับนาโนเทคแห่งชาติ (National Engineering Research Center for Nanotech) ในนครเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยชิงฮวา (Tsinghua University) ผู้นำด้านวิศวกรรมศาสตร์ ณ กรุงปักกิ่ง และ Soochow University สถาบันการศึกษาเก่าแก่ ณ เมืองซูโจว 

ประการที่ 2 การขยายตัวของอุตสาหกรรมและตลาด นับแต่ปี 2000 อุตสาหกรรมนาโนเทคของจีนเติบโตในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง จำนวนกิจการนาโนเทคของจีนเพิ่มขึ้นจาก 3,015 แห่งในปี 2000 เป็นราว 35,000 แห่งในช่วงกลางปี 2025 เติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในจำนวนนี้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ราว 740 แห่ง 

นอกจากโครงการ 863 และโครงการ 973 ดังกล่าวที่นำไปสู่การพัฒนานักวิจัยขั้นสูงจำนวนมากแล้ว จีนก็ยังดำเนินนโยบายดึงดูด “บุคลากรคุณภาพสูง” ด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสม อาทิ นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน “จีนโพ้นทะเล” และต่างชาติที่ได้รับการฝึกอบรมจากต่างประเทศ พร้อมกับเงินทุนวิจัย และการผลิตเครื่องมือและเทคนิคการวิจัยที่ทันสมัย 

เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าด้านนาโนเทค และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในจีนไปพร้อมกัน โดยในระหว่างปี 2000-2025 อุตสาหกรรมนาโนเทคของจีนเพิ่มการจ้างงานคุณภาพสูงเกือบ 2 เท่าตัว จาก 5 ล้านอัตราเป็นเกือบ 10 ล้านอัตรา และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง