รีเซต

ทำไมเศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 (ตอน 2)

ทำไมเศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 (ตอน 2)
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2568 ( 14:55 )
15

เพื่อไม่ให้เสียเวลาและพื้นที่แห่งความสุขและความสนุกสนาน เราไปคุยกันต่อเลยครับ ...

นอกจากการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยี จีนยังประกาศขายพันธบัตร “นวัตกรรมไฮเทค” และเครื่องมือทางการเงินในระยะยาวเพื่อระดมทุนสำหรับการสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่กิจการไฮเทคและกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็จัดสรรเงินงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาจำนวนราว 3.6 ล้านล้านหยวน และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาต่อจีดีพีอย่างต่อเนื่องจาก 3.5% ในอนาคตอันใกล้ และวางแผนจะยกระดับขึ้นเป็นถึง 7% ในระยะยาว


ผมลองคิดตามดู เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าไทยราว 35 เท่า และขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าของไทยราว 2 เท่าตัว รวมทั้งยังกำหนดเงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่มากกว่าของไทยอีกหลายเท่า แถมยังเก่งกาจกว่าในการต่อยอดการวิจัยเชิงพาณิชย์ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพัฒนานวัตกรรมได้เทียบเท่าจีนในอนาคตอันใกล้ 

เราอาจต้องเลือกอุตสาหกรรมไฮเทคเป้าหมายและสร้างโมเดลความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับจีนที่ดีกว่านี้เพื่อ “วิ่งไล่ทัน” จีนในระยะยาว

นอกจากนี้ จีนยังจะ “ปรับโมเดล” การพัฒนาโดยมุ่งเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในระดับที่ทัดเทียมกับภาครัฐ ดังจะเห็นได้จากปรากฎการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อ สี จิ้นผิง พบกับผู้บริหารระดับสูงของกิจการบิ๊กเทคของจีนจำนวนหลายรายเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ และตามมาด้วยการออกกฎหมายส่งเสริมภาคเอกชนเมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีผลบวกต่อการพัฒนานวัตกรรมของจีนในอนาคต

ประเด็นสำคัญ การขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจสูง นอกจากจะช่วยชดเชยการชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์แล้ว ยังจะกลายเป็น “เครื่องยนต์” สำหรับในการพัฒนาเศรษฐกิจคุณภาพสูงในอนาคต

เท่านั้นไม่พอ เครื่องยนต์แห่งการพัฒนาเหล่านั้นดูจะ “ทรงพลัง” มากขึ้นในระยะยาวเมื่อจีนเดินหน้าต่อยอดนโยบาย Made in China 2025 ด้วยนโยบาย “New Quality Productive Forces” (กำลังการผลิตคุณภาพใหม่) ที่ผู้นำจีนพูดถึงเป็นครั้งแรกในระหว่างการตรวจงานที่นครฮาร์บิน มณฑลเฉยหลงเจียง และจะปรากฏภาพชัดเจนขึ้นในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2025 และการประชุมสองสภาในช่วงเดือนมีนาคม 2026

ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า การมาของกำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อะไรบ้าง? ภายใต้แนวคิดและนโยบาย “AI+” เรากำลังพูดถึงการเชื่อมโยง AI เข้าไปในทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมของจีน หรือการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เข้ากับ AI และควอนตัม (Quantum) จะเกิดขึ้นและคาดว่าจะนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ ประสิทธิภาพและความแม่นยำด้านการผลิตที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ลดลง และอื่นๆ อีกมากมายตามมา

ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า มูลค่าอุตสาหกรรมหลักด้าน AI คาดว่าจะสูงถึง 400,000 ล้านหยวน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีมูลค่าถึง 5 ล้านล้านหยวนในปี 2025 เรากำลังพูดถึงขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าของไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว พลังเศรษฐกิจในส่วนนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2026 อย่างไม่ต้องสังสัย

ขณะเดียวกัน จีนยังจะใช้จังหวะโอกาสนี้ผลักดันอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงอื่น อาทิ เซมิคอนดักเตอร์เจนใหม่ วัสดุใหม่ (New Materials) และการบินและอวกาศเชิงพาณิชย์ (Commercial Aviation and Aerospace) ทำให้เราน่าจะเห็นเครื่องบินพาณิชย์เจนใหม่ ดาวเทียมอินเตอร์เน็ต การสำรวจอวกาศ และอื่นๆ ที่ท้าทายมากขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน 

การมาของปัจจัยการผลิตใหม่ภายใต้ “กำลังการผลิตคุณภาพใหม่” เหล่านี้จึงไม่เพียงไม่อยู่ในสมการของการพัฒนาในอดีต แต่ยังจะแทรกซึมเข้าไปในทุกสาขาเศรษฐกิจทั้งด้านเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ผมกำลังบอกว่า ปัจจัยการผลิตใหม่เหล่านี้กำลังเคลื่อนโลกเข้าสู่ระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4!!!

นี่อาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ผลักดันให้เศรษฐกิจจีนเติบใหญ่แรงในกลางปีหน้า และเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ...

ประการที่ 3 การเติบใหญ่ของภาคการบริโภคภายในประเทศ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมไฮเทคและนวัตกรรมแล้ว จีนยังได้พยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมาเน้นการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้นในช่วงหลายปีหลัง ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจจีนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ส่งผลให้สัดส่วนของภาคการบริโภคต่อจีดีพีของจีนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ 

เมื่อปี 2024 ผมสังเกตเห็นความสำเร็จของการดำเนินนโยบาย “เก่าแลกใหม่” ที่ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นภาคการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังขยายภาคการผลิตและการจ้างงานที่เป็น “วงจร” การหมุนทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย 

สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลจีน “สานต่อ” ความสำเร็จดังกล่าวด้วยการเพิ่มวงเงินอุดหนุนการซื้อหาสินค้าจีนเป็น 300,000 ล้านหยวน ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวของปีก่อน และขยายประเภทสินค้าที่เกี่ยวข้องไปครอบคลุมทั้งรถยนต์พลังงานทางเลือก เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล้กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องครัว

จีนยังส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และพยายามดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในจีนมากขึ้นผ่านหลากหลายนโยบาย อาทิ “Visa Free” และ “Transit Visa” ที่ให้กับนักท่องเที่ยวของกว่า 50 ประเทศ และขยายระยะเวลาการพำนักในพื้นที่ที่กำหนดของจีนเป็นถึง 10 วัน รวมทั้งการยกระดับบริการคืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังมีการใช้นโยบายการคลังเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ส่งผลให้ตลาดผู้บริโภคของจีนส่งสัญญาณการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ยอดการค้าปลึกของจีนทะยานเป็นเกือบ 4 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และการค้าออนไลน์ยังคงเป็น “จุดสว่าง” มีมูลค่าเกือบ 10 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นเกือบ 10% เมื่อเทียบกับของปีก่อน

ประการสำคัญ ปี 2030 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนฯ 15 ยังตรงกับปีแห่งเป้าหมายแรกด้านเศรษฐกิจสีเขียวที่จีนมีคำมั่นสัญญาจะปลดปล่อย “คาร์บอนสูงสุด” (Carbon Peak) ก่อนไปสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางด้านคาร์บอน” (Carbon Neutrality) ในปี 2060 ซึ่งนั่นหมายถึงการลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตและโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล

ยังมีอีกหลายประเด็น แต่ขอพาท่านผู้อ่านไปคุยกันต่อในตอนหน้าครับ ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง