ทำไมเศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 (ตอน 3)

ขณะเดียวกัน จีนก็พยายามผลักดันนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิ การเชื่อตลาดให้เป็นหนึ่งเดียว เศรษฐกิจสีคราม (Blue Economy) อาทิ ประมง การเดินเรือ กังหันลม และเหมืองใต้ท้องทะเลลึก เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อาทิ รถยนต์พลังงานทางเลือก พลังงานสีเขียว และสิ่งแวดล้อม และราตรีโคโนมี (เศรษฐกิจยามราตรี) อาทิ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร พับ บาร์ และการแสดงทางวัฒนธรรม กายกรรม และอื่นๆ ที่แฝงไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ วัมนธรรม ความยิ่งใหญ่ และนวัตกรรม
นอกจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้อยู่บน “ลำแข้งของตนเอง” แล้ว จีนยังคาดหวังให้การเติบใหญ่ของภาคการบริโภคในการก้าวออกจาก “ปากเหว” ของสภาวะเงินฝืด ลดผลกระทบจากสงครามการค้า 2.0 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและผลจากความสำเร็จในการขับเคลื่อนภาคการบริโภคดังกล่าว ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างมีเสถียรภาพทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว นั่นเท่ากับว่า การพลิกฟื้น “กำลังภายใน” ในระยะหลังคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจของจีน “ปล่อยพลัง” ได้เป็นอย่างมากในอนาคต
ประการที่ 4 การผ่านจุดต่ำสุดของสงครามการค้า มาถึงวันนี้ สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายภาษีและมาตรการกีดกันอื่นกับนานาประเทศมากขึ้นโดยลำดับ
ในประเด็น “ภายในประเทศ” ก็เกี่ยวข้องในหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ตัดสินว่า การลงนามในคำสั่งผู้บริหาร (Executive Order) ของประธานาธิบดีทรัมป์เข้าข่าย “เกินขอบเขต” ของอำนาจ จนนำไปสู่การประกาศเลื่อนการเรียกเก็บอากรนำเข้าเป็นเวลา 90 วัน แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และการชะลอตัวของการค้าและเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการขยายวงของการชุมนุมประท้วงในหลายหัวเมืองของสหรัฐฯ ที่เริ่มนำเอาประเด็นเศรษฐกิจเข้าไปผสมโรงด้วย
ในประเด็น “ระหว่างประเทศ” ที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการแหล่งรองรับการส่งออกสินค้าหลัก อาทิ ถั่วเหลือง และน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ และการสนับสนุนจากชาติพันธมิตรในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่ลดลงทุกขณะ รวมทั้งการกลับมามีบทบาทนำในภูมิเอเซีย-แปซิฟิกอีกครั้งในอนาคตโดยอาศัยเวทีการเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) และการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC Summit) ที่ในระยะหลังขยับเข้าใกล้จีนมากขึ้น ดังนั้น การเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดทั้งสองจึงนัยความสำคัญต่อสหรัฐฯ และต่ออนาคตของประธานาธิบดีทรัมป์
ขณะเดียวกัน ภายหลังคณะผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ และจีนพบปะกันต่อเนื่องหลายครั้งจากเจนีวา (พฤษภาคม) ลอนดอน (มิถุนายน) สต็อกโฮม (กรกฎาคม) และมาดริด (กันยายน) การเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีทรัมป์ก็อาจเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่สหรัฐฯ จะปรับท่าทีกับจีน และอาจนำไปสู่ข้อสรุปของความขัดแย้งทางกายภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ชาติในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ผมยังสังเกตเห็นจีนประสบความสำเร็จในการ “ลดความเสี่ยง” ปรับโครงสร้างตลาดส่งออกมาอย่างต่อเนื่องนับแต่สงครามการค้า 1.0 เมื่อราว 8 ปีก่อน โดยจีนลดสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ต่อการส่งออกโดยรวมจาก 18% ในปี 2017 เหลือไม่ถึง 15% ในปัจจุบัน
จีนยังพยายามลดระดับการพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ ยกตัวอย่างเช่น ถั่วเหลือง และน้ำมันดิบ ดังนั้น หากสถานการณ์สงครามการค้า 2.0 ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่ดีขึ้น ผมก็เชื่อมั่นว่า มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศจะลดต่ำลงต่อไป ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับการส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปจาก 16% เหลือไม่ถึง 15% ญี่ปุ่นจาก 7% เหลือ 4% และเกาหลีใต้จากราว 5% เหลือ 4%
ในทางกลับกัน จีนก็หันไปบุกเบิกและขยายตลาดส่งออกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดอาเซียนที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นราว 17% กลายเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของจีนในปัจจุบัน อินเดีย 4% และรัสเซีย 4% รวมไปถึงตลาดแอฟริกา และละตินอเมริกา
ดังนั้น หากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า 2.0 ที่คาราคาซังมานานเริ่มคลายตัวและพัฒนาเป็นบวก แนวโน้มนี้จะช่วยให้ปัจจัยภูมิเศรษฐศาสตร์พัฒนาในเชิงบวกได้เช่นเดียวกัน ภาคส่งออกของจีนอาจจะกลับมาแข็งแกร่งในปี 2026 ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการขยายตัวแรงทางเศรษฐกิจของจีน
ประการที่ 5 แผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 15 (2026-2030) นับแต่ปี 2023 จีนได้เริ่มกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 15 และจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในครึ่งหลังของเดือนตุลาคม 2025 ก่อนนำเสนอแผนฯ ฉบับสมบูรณ์เพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมสองสภา “เหลี่ยงฮุ่ย” ในเดือนมีนาคม 2026
นั่นเท่ากับว่า ปี 2026 จะเป็น “ปีปฐมฤกษ์” ในการดำเนินงานตามแผนฯ 15 นอกเหนือจากการผลักดันนโยบายใหม่ “กำลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อต่อยอดจาก “MIC 2025” แล้ว ก็คาดว่าแผนฯ 15 จะมีหลายนัยสำคัญเชิงนโยบายอื่นซ่อนอยู่
อาทิ การพัฒนาคุณภาพสูง (High-Quality Development) และการจัดระเบียบตลาดทุนในเชิงรุก อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติ การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนในตลาด และการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขยายขนาดตลาดทุนและสนับสนุนการเติบใหญ่ของสตาร์ตอัพจีนในเวทีโลก
ทั้งนี้ จีนยังจะหันมาให้ความสำคัญกับ “บทบาทภาคเอกชน” ในการพัฒนานวัตกรรม แทนที่จะให้รัฐวิสาหกิจแสดงบทบาทนำเท่านั้น โดยนับแต่ต้นปี 2025 จีนได้ส่งสัญญาณแรงของการปรับโมเดลการพัฒนาโดยใช้กลไกภาครัฐและเอกชนในระดับที่ทัดเทียมกัน
นอกจากนี้ จีนยังจะให้ความสำคัญกับตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมบทบาทของเงินหยวนในเวทีระหว่างประเทศ (RMB Internationalization) มากขึ้น ผ่านการขยายกลไกการชำระเงินข้ามพรมแดนและข้อตกลงสวอปสกุลเงิน เป็นต้น
มาตรการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตคุณภาพสูง (High Quality Growth) โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีระดับสูง พลังงานสะอาด และอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและการปรับโครงสร้างดิจิตัลในระบบเศรษฐกิจจีน และเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ
การดำเนินมาตรการดังกล่าวยังจะทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและมีศักยภาพสูงเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในมิติของการสร้างงานและรายได้ใหม่ รวมไปถึงการพัฒนาในภาคส่วนอื่นของจีนในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนต่อเศรษฐกิจของจีนในภาพรวม
คุยต่อตอนหน้าครับ ...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
