รีเซต

เมื่ออินทรีจ่อออก ‘กฎเหล็ก’ ใหม่ล็อกการเติบใหญ่ของมังกร (ตอนจบ)

เมื่ออินทรีจ่อออก ‘กฎเหล็ก’ ใหม่ล็อกการเติบใหญ่ของมังกร (ตอนจบ)
TNN ช่อง16
13 พฤศจิกายน 2568 ( 15:48 )
8

ภายหลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่าน “FIGHT China Act 2025” ซึ่งเป็นร่างกฎหมายการลงทุนขาออก เชื่อมโยงไปยังประเด็นความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญผ่านการจำกัดเงินทุน เทคโนโลยี และโนวฮาวของสหรัฐฯ ที่ไหลสู่บางอุตสาหกรรมและองค์กรของจีน มาคุยกันต่อเลยว่า หากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะเกิดมาตรการใดตามมาบ้าง ... 

1.การคัดกรองการลงทุนขาออก (Outbound Investment Screening) ที่กำหนดให้กิจการสหรัฐฯ ที่ประสงค์จะไปลงทุนในกิจการเทคที่ไม่ต้องห้ามในจีน ต้อง “จดแจ้ง” เพื่อ “ขออนุญาต” การลงทุนดังกล่าวจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใน 14 วันเพื่อป้องกันมิให้ทุนอเมริกันเพิ่มความทะเยอทะยานทางการทหารและความสามารถในการเฝ้าระวังของจีน

  1. รูปแบบการลงทุน การกำกับควบคุมครอบคลุมถึงการลงทุนหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ หุ้นส่วนจำกัด การมีส่วนได้ส่วนเสีย ทรัพย์สิน หรือทรัพย์สินอื่นๆ แม้กระทั่งสินเชื่อและการจัดหาสินเชื่อ กิจการร่วมค้า และการแปลงดอกเบี้ยส่วนของผู้ถือหุ้นหรือหนี้ เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนเอกชน และนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ เข้าลงทุนในอุตสาหกรรมอ่อนไหวในจีน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
  2. การห้ามการลงทุน โดยให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการห้ามการลงทุนของสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเฉพาะของจีนที่เป็น “ภัยคุกคามของชาติ” โดยกำหนดเทคโนโลยีที่เข้าข่าย “อันตรายสูงสุด” อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง โมเดลปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ วัสดุที่ใช้ความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic) และเทคโนโลยีทางการทหาร และอัพเดตลิสต์ “เทคโนโลยีต้องห้าม” เป็นระยะ 
  3. การจัดทำ “บัญชีดำ” กิจการจีนที่ทำธุรกรรมเชื่อมโยงกับกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง และห้ามไม่ให้มีการลงทุนหรือทำธุรกรรมใดๆ กับกิจการเหล่านี้
  4. การแจ้งเตือนภาคบังคับ นักลงทุนอเมริกันจะต้องแจ้งกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการลงทุนอื่นๆ ในโมเดล AI ของจีนบางรุ่น 
  5. การคว่ำบาตร (Sanction) กฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคลและหน่วยงานจีนที่มีส่วนร่วมกับภาคการทหารและข่าวกรองของจีน
  6. การรายงานผลต่อสภาคองเกรสเพื่อประเมินผลและปรับมาตรการให้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนโยบายและมาตรการกำกับตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังให้อำนาจเต็มกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการดำเนินการแบบ “จัดเต็ม” กับบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะที่การยกเลิกจะสามารถกระทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ถอดจีนออกจากบัญชีรายชื่อ “Foreign Adversary” (ศัตรูต่างชาติ)

คำถามสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ หากมีผลบังคับใช้ กฎหมายฉบับดังกล่าวก็จะส่งผลกระทบอะไร อย่างไรต่อจีนและโลก ในระยะสั้น การกระตุกตัวของการลงทุนของกิจการข้ามชาติที่ใช้เงินทุนอเมริกันในจีน ขั้นตอนกฎระเบียบในการจดแจ้งเพื่อขออนุญาตอาจทำให้การลงทุนของกิจการอเมริกันใช้เวลาในการวางแผน การประเมินความเสี่ยง และความพยายามด้านการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น

ร่างกฎหมายดังกล่าวยังเพิ่มความเสี่ยงทางธุรกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นแทบทุกขณะ กิจการสหรัฐฯ และพันธมิตรบางรายอาจย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมืองและกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต ลอจิสติกส์ และอื่นๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่ได้ลงทุนหรือวางแผนจะลงทุนในจีนต้องให้ความสนใจกับความพยายามทางกฎหมายด้านกฎระเบียบในวงกว้าง

สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้การลงทุนโดยตรงของสหรัฐฯ ในสาขาที่เกี่ยวข้องในจีนลดลง แต่ผมประเมินว่าผลกระทบในส่วนนี้จะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น เพราะการเพิ่มเงินทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิต ในช่วงหลายปีหลัง ทำให้จีนจะสามารถ “ก้าวข้าม” ข้อจำกัดในระยะสั้นได้

ความเสี่ยงยังอาจจะทำให้พัฒนาการด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในจีนมีความผันผวน แม้กระทั่ง มูลค่าธุรกิจไฮเทคของจีนหรือแม้กระทั่งของสหรัฐฯ ก็อาจต้องประเมินกันใหม่ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าลดลง “ปรับฐาน” ใหม่เพราะโอกาสทางธุรกิจที่จะลดลงในอนาคต

อย่างไรก็ดี จากการพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของกิจการข้ามชาติในจีนกลับพบว่า กิจการข้ามชาติเหล่านั้นกลับได้ดำเนินการแยกห่วงโซ่อุปทานเฉพาะของจีนมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว บางคนบอกว่าบริษัทได้ “เตรียมการ” ในเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัย Trump 1.0 แล้ว 

นั่นหมายความว่า แม้กฎหมาย FIGHT China Act 2025 ดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่การแยกห่วงโซ่อุปทานระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และหากความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจไปไกลมากขึ้น ธุรกิจในจีนก็อาจแยกตัวออกจากบริษัทแม่เป็นอีกนิติบุคคลหนึ่ง

ในระยะกลาง กฎหมายดังกล่าวก็อาจจำกัดการไหลเวียนของเงินทุนและผู้ชำนาญการด้านไฮเทคเข้าสู่จีน นั่นทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไฮเทคล้ำสมัยเชิงพาณิชย์ของจีนชะลอลง และอาจส่งผลให้ต้นทุนการประกอบการเพิ่มขึ้นหรือมีประสิทธิภาพลดลง

ในทางกลับกัน ปัญหาอุปสรรคจากร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อจีนในระยะสั้นก็อาจกลายเป็นแรงผลักดันในระยะกลางและระยะยาวได้ 

ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มแทอย่างไม่หยุดยั้ง และสนับสนุนส่งเสริมในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาการด้านนวัตกรรมของจีนก็อาจ “เติบใหญ่” อย่างรวดเร็ว และลดระดับการพึ่งพาด้านเทคโนโลยีจากภายนอก แต่หันมาเพิ่มระดับการพึ่งพาตนเองแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการเทคโนโลยีที่ “อันตรายสูงสุด” ในสายตาของรัฐบาลอเมริกัน เช่น ชิป/เซมิคอนดักเตอร์ และโมเดลปัญญาประดิษฐ์

เท่านั้นไม่พอ ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะในโครงการทางการทหาร แต่กระทบต่อโครงการในเชิงพาณิชย์ อาทิ ยานยนตไฟฟ้า รถยนต์และโดรนไร้คนขับ พลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย

นักวิเคราะห์ยังประเมินว่า การผ่านร่างกฎหมาย FIGHT China Act ของวุฒิสภาเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ กำลังเดินหน้าจัดระเบียบระบบการลงทุนระหว่างประเทศในระยะยาว ซึ่งนั่นหมายความว่า กิจการข้ามชาติต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นในการลงทุนในจีน

เงื่อนไขกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของกิจการอเมริกันและชาติพันธมิตรในจีน ซึ่งอาจมีแนวโน้มลดลง และอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรการ “ตอบโต้” ของจีนต่อสหรัฐฯ อาทิ การคัดกรองการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การขึ้นบัญชีดำกิจการของสหรัฐฯ และเครือข่ายเพื่อจำกัดบทบาทของซัพพลายเออร์และกิจการที่เกี่ยวข้องบางราย หรือแม้กระทั่งการจำกัดการไหลของข้อมูลที่อ่อนไหวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

การคุมเข้มการส่งออกในสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่หายาก และแร่ธาตุสำคัญอื่น ก็เป็นอาจอีกหนึ่งมาตรการตอบโต้ของจีน ในทางกลับกัน ผมคาดว่าจีนจะเพิ่มการอุดหนุนหรือส่งเสริมด้วยมาตรการพิเศษแก่กิจการและโครงการในประเทศเพื่อเร่งพัฒนา “ระบบนิเวศ” และห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมไฮเทค รวมทั้งเร่งขยายการลงทุนและความร่วมมือไปยังภูมิภาคอื่นตามแนว “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

ประการสำคัญยิ่งกว่าก็คือ หากความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงขยายวงต่อไปเช่นนี้ นักวิเคราะห์จึงต่างกังวลใจว่า แนวโน้มสถานการณ์ที่บานปลายอาจจะปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านการลงทุนระหว่างประเทศ และทำให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองยากจะกลับมาร่วมมือกันอีกได้ในอนาคต ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง