รีเซต

ปิดงานไม่เท่ากับเลิกจ้าง วิเคราะห์ข้อกฎหมาย–สิทธิแรงงาน ปมพิพาทไดกิ้น

ปิดงานไม่เท่ากับเลิกจ้าง วิเคราะห์ข้อกฎหมาย–สิทธิแรงงาน ปมพิพาทไดกิ้น
TNN ช่อง16
5 ธันวาคม 2568 ( 15:36 )
23

คำเดียวที่ทำให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน

กรณีข้อพิพาทระหว่าง บริษัทไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) กับ สหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี กลายเป็นหัวข้อสำคัญด้านแรงงาน หลังบริษัทประกาศ “ปิดงานงดจ้าง” ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเข้าข่าย “เลิกจ้าง” ทั้งหมด การเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการสื่อสารสิทธิแรงงานในไทย ซึ่งยังขาดความชัดเจนในการอธิบายคำกฎหมายที่ส่งผลต่อความมั่นคงในการทำงานของประชาชนจำนวนมาก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรีนุช เทียนทอง จึงชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีปิดงานหลังการเจรจา 11 ครั้งไม่บรรลุความตกลง ไม่ใช่การเลิกจ้างพนักงาน และสั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเข้าประนอมในรอบที่ 12 วันที่ 8 ธันวาคมนี้ เพื่อให้เหตุการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

ปิดงานคืออะไร? เข้าใจโครงสร้างทางกฎหมาย

ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ การปิดงานเกิดขึ้นได้ 2 เงื่อนไข

 1. ลูกจ้างนัดหยุดงาน

 2. การเจรจาระหว่างนายจ้างและลูกจ้างไม่บรรลุผล แม้เข้าสู่กระบวนการข้อพิพาทตามกฎหมายครบขั้นตอนแล้ว

สถานภาพของลูกจ้างยังคงอยู่ สัญญาจ้างไม่สิ้นสุด และเป็นเพียงการงดจ่ายค่าจ้างในช่วงที่ข้อพิพาทยังไม่ยุติ จึงต่างจากการเลิกจ้างอย่างมีนัยสำคัญ

เลิกจ้างคืออะไร? และทำไมมีผลทางกฎหมายสูงกว่า

การเลิกจ้างคือการยุติสัญญาจ้างโดยสมบูรณ์ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ

  • ค่าชดเชยตามอายุงาน
  • ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
  • สิทธิฟ้องคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ดังนั้น การปิดงานไม่อาจสรุปว่าเป็นการเลิกจ้าง เพราะผลกระทบและฐานกฎหมายต่างกันอย่างชัดเจน

ทำไมสังคมเข้าใจผิด? โครงสร้างปัญหาการสื่อสารสิทธิแรงงาน

1) ภาษากฎหมายที่ฟังดูเคร่งขรึมและตีความยาก

คำว่า “ปิดงาน” ทำให้บางคนเชื่อว่าเป็นการปิดกิจการถาวร ทั้งที่กฎหมายกำหนดชัดว่าเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

2) การรายงานข่าวที่ต้องกระชับ

ถ้อยคำอย่าง “งดจ้าง” หรือ “หยุดงาน” ทำให้ประชาชนไม่สามารถแยกความแตกต่างของสถานะแรงงานได้อย่างถูกต้อง

3) ความรู้เรื่องแรงงานสัมพันธ์ยังจำกัด

ทั้งนายจ้างและลูกจ้างมักไม่คุ้นเคยกับกลไกของข้อพิพาท เช่น การขอประนอม การใช้สิทธิหยุดงาน หรือการใช้สิทธิปิดงาน

สถานการณ์ไดกิ้นชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารเชิงสิทธิที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ปฏิบัติงานและภาคอุตสาหกรรม

สิทธิของแต่ละฝ่าย เครื่องมือที่กฎหมายเปิดพื้นที่ให้ใช้

สิทธิของนายจ้าง

  • ปิดงานเมื่อขั้นตอนตามกฎหมายครบถ้วน
  • งดจ่ายค่าจ้างในช่วงข้อพิพาท
  • ขอให้รัฐเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา

สิทธิของลูกจ้าง

  • รักษาสถานภาพลูกจ้างตามกฎหมาย
  • ใช้สิทธินัดหยุดงานได้ภายใต้กรอบกฎหมาย
  • ร้องเรียนกรณีถูกกระทบสิทธิ
  • เจรจาผ่านสหภาพแรงงานอย่างเป็นระบบ

บทบาทรัฐ

กระทรวงแรงงานต้องรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้ข้อพิพาทกระทบต่อเสถียรภาพด้านแรงงานและภาพรวมเศรษฐกิจ โดยรอบการเจรจาที่ 12 จะเป็นจุดสำคัญในการหาทางออก

ความหมายต่อระบบแรงงานไทย

กรณีไดกิ้นชี้ให้เห็นว่า

 1. การจัดการข้อพิพาทแรงงานจำเป็นต้องอยู่บนฐานข้อมูลที่ชัดเจน

 2. ความเข้าใจพื้นฐานของสังคมเกี่ยวกับการปิดงานและเลิกจ้างยังไม่เพียงพอ

 3. บทบาทของรัฐมีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม

 4. การสื่อสารเชิงสิทธิแรงงานต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้นเพื่อลดความสับสน

ข้อพิพาทนี้จึงเป็นโอกาสในการทบทวนระบบแรงงานสัมพันธ์ของประเทศในภาพรวม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง