“ผู้กำกับโจ้” เคยเป็น “ไบโพล่า” สะท้อนคนร้ายมักหงายการ์ดเป็น “โรคจิตเวช” ต้องรับผิดตามกฎหมายไหม
จากกรณี “ผู้กำกับโจ้” หรือ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้นำถุงคลุมหัวผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ใบ จนผู้ต้องหาเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายนานเกิน 6 นาที ซึ่งล่าสุด มีกระแสข่าวออกมาว่า ตำรวจภูธรภาค 6 ให้ข้อมูลว่า “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เคยมีประวัติรักษา “ไบโพลาร์” มาระยะหนึ่งแล้ว และต้องกินยาอยู่เรื่อย ทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่า จะนำประเด็นนี้มาต่อสู้ในชั้นศาล
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางช่อง 3 ได้ระบุว่า บรรดาคนที่เคยร่วมงานมากับอดีตผู้กำกับโจ้ จะรู้ดีว่า เขามีอาการคล้ายคนป่วยเป็นโรคไพโบล่า แต่ที่ผ่านมา ไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองป่วย เป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานที่รู้พยายามไม่มอบหมาย งานที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้เกิดอาการกำเริบ จึงเป็นที่มาของข่าวลือว่า อดีตผู้กำกับโจ้ เป็น "ไบโพล่า" และจนถึงขณะนี้ อดีตผู้กำกับโจ้ ยังไม่เคยเข้ารับการตรวจรักษา และยังไม่มีรายงานว่าจะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ต่อสู้ในทางคดีด้วย
“ผกก.โจ้” อ้างป่วย “ไบโพล่า” ไม่รับโทษได้ไหม
ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่าย “ทนายคลายทุกข์” ได้โพสต์ว่า อดีตผู้กำกับโจ้ อ้าง “ไบโพล่า” เพื่อไม่ต้องรับโทษได้หรือไม่ โดยได้สรุปตามข้อกฎหมายไว้ดังนี้
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 การที่ ผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษต้องเป็นกรณีที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เลย เพราะมีจิตบกพร่องโรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน แต่ถ้ารู้ผิดชอบอยู่บ้างบังคับตัวเองได้บ้างยังต้องรับโทษแต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้
แต่ถ้าขณะกระทำความผิด รู้ผิดชอบบังคับตนเองได้ต้องรับผิดเต็มตามที่กฎหมายกำหนดไม่สามารถลดโทษหรือไม่ต้องรับโทษส่วนตัวผมเห็นว่าต้องรับโทษเพราะ หากผู้กำกับโจ้เป็นโรคจิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่น่าจะแต่งตั้งเป็นผู้กำกับนะครับความเห็นส่วนตัว
หลายคดีที่เรามักพบเห็นว่า คนร้ายมัก ป่วยเป็นโรคหรือมีอาการทางจิตเวช อย่างเช่น โรคไบโพลาร์ หรือโรคซึมเศร้า แต่การที่เราสรุปว่า คนร้ายคือคนป่วยจิตเวชทั้งหมด จะถือว่าเป็นการซ้ำเติมผู้ป่วยจิตเวชที่แท้จริงมากเกินไป เพราะการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ มีความยากลำบากกว่าผู้ป่วยโรคทั่วไปอยู่แล้ว เนื่องจาก มักถูกเลือกปฏิบัติ ในด้านต่างๆ ทั้งอาชีพ การดำรงชีวิต ที่อยู่อาศัย หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ ซึ่งผู้ป่วยโรคจิตเวชมีความอ่อนไหวสูงกว่า และเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า
คนร้าย คือ คนโรคจิตหรือเปล่า ?
โรคจิตมีด้วยกันหลายชนิดแต่ละชนิดก็มีลักษณะอาการแตกต่างกันออกไปบ้าง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เป็นโรคจิตจะไม่ทราบว่าตนเองผิดปกติไป มักจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่เคยคิดสงสัยว่าไม่น่าจะเป็นไปได้หรือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สมเหตุสมผล รู้สึกสองจิตสองใจ พยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามวางตัวให้เป็นไปตามปกติ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าตัวเองผิดปกติไป และพอเริ่มมีอาการเป็นมากขึ้นความสามารถในการตัดสินว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงจะเสียไป การควบคุมตนเองลดลง พฤติกรรมในระยะนี้ก็จะแสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็นชัดว่าผิดปกติไป
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โรคจิตนั้นแบ่งออกเป็นหลายชนิดมาก แต่แต่ละชนิดยังอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มอาการย่อยๆ ลงไปอีก อย่างไรก็ตามพอจะจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 6 กลุ่ม ดังนี้
1.โรคจิตเภท
2.โรคจิตหลงผิด
3.โรคจิตที่เกิดจากโรคอารมณ์แปรปรวน
4.โรคจิตชนิดเฉียบพลัน
5.โรคจิตที่เกิดจากโรคทางร่างกาย
6.โรคจิตที่เกิดจากสารต่างๆ หรือยา
โรคจิตที่เกิดจากโรคทางร่างกายหรือสารต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเมื่อรักษาโรคทางร่างกาย หรือหยุดการใช้สารหรือยาต่างๆ แล้วอาการก็จะหายหรือดีขึ้น โรคจิตเภทและโรคจิตหลงผิดนั้นจะค่อนข้างเรื้อรัง ส่วนโรคจิตที่เกิดจากโรคอารมณ์แปรปรวน และโรคจิตชนิดเฉียบพลันมักเป็นไม่นาน
ทำไม “ไบโพลาร์” มักเป็นโรคยอดฮิต ของคนร้าย
โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) โดยอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลาย ๆ เดือนก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเองอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ
ปัจจุบันเชื่อว่าโรคไบโพลาร์เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรมที่ผิดปกติทั้งที่เกิดจากการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษและเกิดใหม่ช่วงเป็นทารกในครรภ์ เนื่องจากพบว่าผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้หรือโรคทางจิตเวชอื่นๆ จะมีโอกาสเป็นโรคไบโพลาร์มากกว่าคนทั่วไป
รวมถึงอาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองโดยมีสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล และจากสภาพแวดล้อมของผู้ป่วย เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก หรือความเครียดในชีวิตประจำวันที่กระตุ้นให้โรคแสดงอาการ รวมถึงเกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ความผิดปกติของไทรอยด์ฮอร์โมน
โดยโรคไบโพลาร์พบได้ราวร้อยละ 2-5 ของประชากรทั่วไป โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติบ่อยกว่าอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ ขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติเพียงอย่างเดียวก็ได้
“อาการไบโพลาร์” ที่สังเกตได้
1. อารมณ์คลุ้มคลั่ง (Manic Episode)
- รู้สึกคุณค่าตัวเองสูงเกินจริง บางครั้งคิดว่าตนเองเป็นใหญ่
- ไม่หลับไม่นอน กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข
- พูดมาก พูดไม่หยุด
- คิดฟุ้งซ่าน จะทำโน่นทำนี่ คิดทำการใหญ่โต
- วุ่นวาย กิจกรรมมาก อาจใช้จ่ายผิดปกติมาก
- สัมพันธภาพกับผู้อื่นเสีย
2. อารมณ์เศร้า (Depressive Episode)
- ซึมเศร้า
- หมดความสนใจและความเพลิดเพลินลงมาก
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก ใน 1 เดือน
- ไม่หลับหรือหลับมากไป
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
- รู้สึกผิดหรือไร้ค่า ร้องไห้ง่าย
- สมาชิกลดลง ลังเลใจ ตัดสินใจอะไรไม่ได้
- คิดอยากตาย หรือการฆ่าตัวตาย
เราจะดูแล “ผู้ป่วยไบโพลาร์” อย่างไร?
สำหรับผู้ป่วย ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งได้แก่
1.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
2.ดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด
3.มีกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียด ทำจิตใจให้สบาย
4.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากพบผลข้างเคียงจากการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง
5.หมั่นสังเกตอารมณ์ของตนเอง เรียนรู้อาการเริ่มแรกของโรค และรีบไปพบแพทย์ก่อนที่จะมีอาการมากขึ้น
6.แจ้งให้คนใกล้ชิดทราบถึงอาการเริ่มแรกของโรค เพื่อให้ช่วยสังเกตและพาไปพบแพทย์
สำหรับการปฏิบัติตัวของญาติหรือบุคคลใกล้ชิด ได้แก่
1.เข้าใจว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติเป็นความเจ็บป่วย ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของผู้ป่วย
2.ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
3.สังเกตุอารมณ์ของผู้ป่วย เรียนรู้อาการเริ่มแรกของโรคและรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ก่อนที่จะมีอาการมากขึ้น
4.ช่วยควบคุมเรื่องการใช้จ่ายและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออันตราย
5.เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ควรให้กำลังใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ให้ผู้ป่วยหยุดยาก่อนปรึกษาแพทย์
ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล , โรงพยาบาลกรุงเทพ , เพจทนายคลายทุกข์ , ช่อง 3
ข่าวที่เกี่ยวข้อง