รีเซต

“ภัยแล้งหิมะ” ความเสี่ยงใหม่ยุคโลกเดือด เสี่ยงกระทบแหล่งน้ำทั่วโลก

“ภัยแล้งหิมะ” ความเสี่ยงใหม่ยุคโลกเดือด เสี่ยงกระทบแหล่งน้ำทั่วโลก
TNN ช่อง16
7 พฤษภาคม 2568 ( 09:30 )
9

ภัยแล้งในยุคโลกร้อนอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ฝนที่หายไปในช่วงฤดูฝนอีกต่อไป เพราะการศึกษาใหม่ล่าสุดจากสถาบันนิเวศวิทยาและภูมิศาสตร์ซินเจียง สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ซึ่งเผยแพร่ผ่านวารสารวิชาการ Geophysical Research Letters พบว่า ภาวะโลกร้อนกำลังเพิ่มความถี่และความรุนแรงของ “ภัยแล้งหิมะ” (snow drought) ซึ่งจะส่งผลกระทบกว้างขวางในระยะยาวต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ ระบบเกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่พึ่งพาหิมะละลายเป็นแหล่งน้ำต้นทุน


“ภัยแล้งหิมะ” หมายถึง ภาวะที่ปริมาณหิมะที่ละลายตามฤดูกาลมีน้อยกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำไหลลงสู่แม่น้ำ ลำธาร อ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทานในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน อันเป็นช่วงเวลาที่ความต้องการใช้น้ำสูงสุด นักวิจัยแบ่งภัยแล้งหิมะออกเป็นสามประเภท ได้แก่

  1. ภัยแล้งหิมะแบบแห้ง (dry snow drought) เกิดจากปริมาณน้ำฝนหรือหิมะในฤดูหนาวน้อยกว่าค่าปกติ
  2. ภัยแล้งหิมะแบบอบอุ่น (warm snow drought) เกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น จนฝนตกมากกว่าหิมะตก หรือทำให้หิมะละลายเร็วกว่าที่ควร
  3. ภัยแล้งหิมะแบบผสม (compound snow drought) เป็นการผสมกันของสภาพแห้งและสภาพอบอุ่น กล่าวคือ ทั้งมีฝนน้อยและอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย

ในการศึกษานี้ คณะวิจัยได้ใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศจากหลายแหล่ง รวมถึงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบแนวโน้มระยะยาวของการเกิดภัยแล้งหิมะตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงสิ้นศตวรรษ พบว่า ภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับปานกลาง (SSP2-4.5) ความถี่ของภัยแล้งหิมะอาจเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงฐานในปี 1981 ขณะที่ภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับสูง (SSP5-8.5) ความถี่ของภัยแล้งหิมะอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 4 เท่าภายในปี 2100


นอกจากแนวโน้มโดยรวมที่เพิ่มขึ้นแล้ว นักวิจัยยังพบว่า ภัยแล้งหิมะแบบอบอุ่นจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าจะกลายเป็นภัยแล้งหิมะประเภทหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 65% ของภัยแล้งหิมะทั้งหมดภายในปี 2050 และหากไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความถี่ของภัยแล้งหิมะแบบอบอุ่นอาจเพิ่มสูงถึง 6.6 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน


ในขณะเดียวกัน ภัยแล้งหิมะแบบผสมก็แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีแนวโน้มเพิ่มความถี่ของการเกิดขึ้นถึง 3.7 เท่า ซึ่งถือเป็นประเภทที่สร้างความเสี่ยงสูงอย่างมากต่อระบบนิเวศน้ำจืด และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ เช่น เขื่อน ระบบไฟฟ้าพลังน้ำ และโครงการชลประทาน เนื่องจากไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับปริมาณหิมะที่ลดลงเท่านั้น แต่ยังต้องรับมือกับการละลายที่เร็วและกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ

.

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งหิมะมากที่สุดตามผลการศึกษาคือบริเวณละติจูดกลางและสูงของซีกโลกเหนือ ซึ่งรวมถึงภูมิภาคที่มีประชากรจำนวนมากพึ่งพาน้ำจากการละลายของหิมะ เช่น ภูเขาร็อกกี้ของสหรัฐฯ เทือกเขาแอลป์ในยุโรป และเทือกเขาหิมาลัยในเอเชีย

ความสำคัญของหิมะไม่ได้มีเพียงแค่เป็นผลผลิตจากฤดูหนาวเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น "ธนาคารน้ำ" ธรรมชาติ ที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ และค่อย ๆ ปล่อยน้ำอย่างช้า ๆ เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ การละลายของหิมะอย่างค่อยเป็นค่อยไปมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ การเกษตร และการบริหารจัดการน้ำของมนุษย์ หากปริมาณหิมะลดลง หรือหิมะละลายรวดเร็วผิดปกติในช่วงต้นฤดู น้ำจำนวนมากจะสูญหายไปโดยไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในฤดูร้อนได้ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยในบางพื้นที่ รวมถึงไฟป่าในช่วงฤดูแล้ง


งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมต่อผลกระทบระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อวงจรน้ำทั่วโลก ทั้งในแง่ของนโยบายด้านการจัดการน้ำ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อชะลอแนวโน้มอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์จากงานศึกษานี้สามารถนำไปใช้วางแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางน้ำในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของหลายประเทศในช่วงศตวรรษที่ 21 หากมนุษยชาติยังคงมุ่งหน้าสู่อนาคตที่ร้อนแรงขึ้นอย่างไร้การควบคุม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง