โลกร้อนทำอูฐหาย “โมร็อกโก” เสี่ยงสูญเสีย วัฒนธรรมกลางทะเลทราย

อูฐถือเป็นสัตว์ที่ผูกพันกับชีวิตและวัฒนธรรมของประชากรซาฮาราในโมร็อกโก ทั้งเป็นแหล่งเนื้อ รายได้ การจ้างงาน และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดลงของทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์กำลังคุกคามจำนวนอูฐและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวทะเลทราย
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ภัยแล้งรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งมากขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้พื้นที่ปศุสัตว์และปริมาณพืชอาหารสัตว์ลดลง ส่งผลให้การเลี้ยงอูฐในโมร็อกโกเผชิญความยากลำบาก ราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น การหาแรงงานเลี้ยงสัตว์ก็ยากขึ้น ทำให้ต้องจ้างแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มอริเตเนีย นอกจากนี้ พื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างขวางที่อูฐเคยใช้หากินลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากถูกนำไปทำการเกษตรและใช้น้ำใต้ดินจากแหล่งน้ำใต้ดิน
แม้ว่าการเลี้ยงอูฐในโมร็อกโกจะเน้นการผลิตเนื้อเป็นหลัก แต่ปริมาณการผลิตยังน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อวัว โดยในปี 2023 การผลิตเนื้ออูฐเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,000 ตัน ขณะที่การผลิตเนื้อวัวในปี 2022 อยู่ที่ 257,000 ตัน
ในขณะเดียวกัน ภาวะโลกร้อนในเคนยากลับทำให้เกษตรกรในพื้นที่ตอนเหนือเริ่มเปลี่ยนจากการเลี้ยงวัวมาเลี้ยงอูฐ เนื่องจากอูฐสามารถทนต่อสภาพแล้งได้ดี กินพืชแห้งได้ และสามารถอยู่โดยไม่ดื่มน้ำได้นานกว่า 1 สัปดาห์ อีกทั้งให้ปริมาณน้ำนมมากกว่าวัวถึง 6 เท่า โครงการสนับสนุนการเลี้ยงอูฐในเคนยาเริ่มขึ้นในปี 2015 หลังจากภัยแล้งรุนแรงหลายครั้งคร่าชีวิตวัวกว่า 70% ในพื้นที่แห้งแล้ง การเลี้ยงอูฐช่วยลดปัญหาการขาดสารอาหาร และเคนยากลายเป็นผู้ผลิตน้ำนมอูฐรายใหญ่ที่สุดในโลก ผลผลิตน้ำนมอูฐปีละประมาณ 1.165 ล้านลิตร
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลี้ยงอูฐในโมร็อกโก ทั้งเรื่องอาหารสัตว์และต้นทุนการเลี้ยง ทำให้จำนวนอูฐลดลงและคุกคามมรดกทางวัฒนธรรมของชาวซาฮารา ในขณะเดียวกัน ประเทศอื่น ๆ อย่างเคนยากลับนำอูฐมาใช้ปรับตัวต่อภัยแล้ง ช่วยลดความหิวโหยและสร้างรายได้ ทำให้เห็นว่าการเลี้ยงอูฐมีบทบาทสำคัญต่อความยั่งยืนและวัฒนธรรมในภูมิภาคทะเลทราย