บริษัทในตลาดหุ้นไทย ทำโลกร้อนแค่ไหน?

COP30 หรือ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สมัยที่ 30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2568 กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ท่ามกลางแรงกดดันในบรรลุเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หลังปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2567 สูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้น 665 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปี2566
ขณะที่ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 21 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) ด้วยปริมาณ 422 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 12 ล้านตันCO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 จากปี 2566
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยตระหนักถึงปัญหาโลกร้อน ล่าสุดภายใต้รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net zero) เร็วขึ้นอีก 15 ปี เป็นภายในปี 2593 จากเดิมมีเป้าหมายจะบรรลุ Net zero ในปี 2608 ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวเพื่อลดปัญหาโลกร้อน
โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) นับเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net zero เนื่องจากมีศักยภาพพร้อมปรับตัวเพื่อเตรียมตัวรับมือมาตรการต่างๆ ของต่างประเทศที่อาจใช้ประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเครื่องมือกีดกันทาง การค้า
ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบจ. จากฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Research) โดย "สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์" ได้เผยแพร่รายงานการศึกษาถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย)
พบว่า ในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 527 บริษัท จากทั้งหมด 861 บริษัท ครอบคลุมร้อยละ 91.4 ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ปล่อยก๊าซฯ) และจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน (ปี 2567) พบว่า บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ปล่อยก๊าซฯ) มากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากราวกว่า 200 บริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 500 บริษัท
โดยในปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียนรวมทั้ง 527 บริษัทเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ ในส่วนขอบเขต 1 ( Scope 1) และขอบเขต 2 (Scope 2) มีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวม 227.06 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 518 บริษัท ปล่อยก๊าซฯ รวม 226.31 ล้านตัน CO2eq หรือมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น 0.75 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากปี 2566
นอกจากนี้ เมื่อเทียบเปรียบปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยกับภาพรวมของทั้งประเทศ พบว่า โดยภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในปี 2567 มีอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากปี 2566 ซึ่งน้อยกว่าภาพรวมของไทยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ส่งผลให้สัดส่วนของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยต่อภาพรวมทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ระดับร้อยละ 53.76 ลดลงจากร้อยละ 55.11 ในปี 2566
ทั้งนี้ Scope 1 คือ การปล่อยโดยตรงซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากแหล่งที่บริษัทเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในหม้อต้ม เครื่องยนต์และยานพาหนะที่ใช้ในการดำเนินงาน
ส่วน Scope 2 คือการปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อจากภายนอก เช่น การใช้ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน
และ Scope 3 คือ เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กร แต่เกิดขึ้นในแหล่งที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเชน การขนส่งสินค้า การเดินทางของพนักงาน การกำจัดขยะ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณา “ความต่อเนื่องและความน่าเชื่อถือ” ของข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ พบว่า มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 274 บริษัท (ร้อยละ 64.5 ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด) จากทั้งหมด 527 บริษัท ที่รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ครบทั้ง 2 ปี (ปี 2566 และปี 2567) และมีการทวนสอบข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยผู้ประเมินจากภายนอก ซึ่งฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้ข้อมูลของบริษัทกลุ่มนี้ในการศึกษาเชิงลึกต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประเมินจากภายนอก คือ หน่วยงานทวนสอบที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทวนสอบการประเมินคาร์บอนฟุต พริ้นท์ระดับนิติบุคคลกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือหน่วยงานภายนอกที่ได้รับการรับรองจาก Verra ที่เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการรับรองโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น โครงการปลูกป่า การอนุรักษ์ป่าไม้ และพลังงานทดแทน)
ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำการศึกษาเจาะลึก พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยก๊าซฯ ลดลงมีจำนวน 138 บริษัทซึ่งมากกว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นที่มีจำนวน 133 บริษัทขณะที่ 3 บริษัทรายงานว่าปล่อยก๊าซฯ เท่าเดิม และบริษัทจดทะเบียนกลุ่มนี้ปล่อยก๊าซฯ รวมเพิ่มขึ้น 9.19 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.98 จากปี 2566
สำหรับ 133 บริษัทปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นรวม 12.14 ล้านตัน CO2eq โดยร้อยละ 90.03 ของปริมาณก๊าซที่เพิ่มขึ้นทัง้หมดเป็นการปล่อยก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในหมวดธุรกิจ พลังงาน และสาธารณูปโภค
ขณะที่ 138 บริษัทปล่อยก๊าซฯลดลง ซึ่งปล่อยก๊าซฯ รวมลดลง 2.95 ล้านตัน CO2eq โดยประมาณร้อยละ75.17 ของปริมาณก๊าซฯที่ลดลงทั้งหมด เป็นผลจากการปล่อยก๊าซฯ ที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการใช้พลังงาน อาทิ ใช้ขยะเป็นพลังงานแทนการใช้ถ่านหิน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน การพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากเจาะลึกปริมาณการปล่อยก๊าซฯ Scope 1 และ 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปี 2566 - 2567 ที่มีการทวนสอบโดยผู้ประเมินภายนอก (274 บริษัท) จำแนกตาม "กลุ่มอุตสาหกรรม" ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ในปี 2567 กลุ่มทรัพยากรปล่อยก๊าซฯ รวมมากที่สุด 88.29 ล้านตัน CO2eq ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 36.89 ล้านตัน CO2eq และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 36.89 ล้านตัน CO2eq และ ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มธริจการเงินปล่อยก๊าซฯ น้อยที่สุด 0.40 ล้านตัน CO2eq
เมื่อพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1 และ Scope 2) ในปี 2567 "รายหมวดธุรกิจ" พบว่าหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดวัสดุก่อสร้าง และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์เป็นหมวดธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซฯ รวมสูงสุด 3 อันดับแรก
ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า จากการศึกษาวิธีการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยวางแผนเพื่อใช้ในการลดปริมาณก๊าซฯ โดยศึกษาจากข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะ ทั้งจากแบบฟอร์ม 56-1 One Report รายงานความยั่งยืน และเว็บไซต์ของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณมากในปี 2567 สามารถสรุปได้ 6 กลยุทธ์
1. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลงังาน (Energy Efficiency & Optimization)
- ใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI) และเทคโนโลยีมาใช้ควบคุม และปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน
- เปลี่ยนเครื่องจักรเก่าที่ใช้พลังงานมากให้เป็นรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานกว่า อาทิ เปลี่ยนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกไฮโดรคาร์บอนและลดการเผาก๊าซส่วนเกินหรือติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมที่ปล่องเผาก๊าซเพื่อใช้กับก๊าซที่มีค่าความร้อนต่ำในธุรกิจพลังงาน
2. ปรับปรุงกระบวนการผลิต (Production Process Improvement)
- ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการผลิต เช่น เลือกใช้วัตถุดิบคาร์บอนต่ำ หรือจากวัสดุรีไซเคิล หรือผลพลอยได้ (By Products) เพื่อลดการใช้ทรัพยากรใหม่ เป็นต้น
3. เปลี่ยนแหล่งพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด (Energy Transformation)
- เพิ่มสัดส่วนพลงังานทางเลือก โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล (วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ของเสีย และเชื้อเพลิงจากขยะ) ทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล
- ผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ อาทิ ลงทุนและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม //ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง// ใช้ชานหรือกากอ้อยที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาลมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
4. สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก (Sustainable Products & Packaging)
- ออกแบบและพัฒนาสินค้า รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Products) ไปจนถึงการส่งเสริมและสร้างให้ตลาดมีการขยายตัว
5. พัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บเพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization andStorage: CCUS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนแล้วนำมากักเก็บไว้ใต้ดินแบบถาวร (Carbon Capture and Storage: CCS) หรือใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (CarbonCapture and Utilization: CCU)
ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี CCS และออกแบบด้านวิศวกรรมเสร็จแล้วและคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ในปี 2571 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมในปริมาณมาก
6. การปลูกป่าเพื่อเพิ่มการดูดซับคาร์บอน (Reforestation for Carbon Sequestration)
- ปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และลงทุนในโครงการปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซต์ในอากาศตามกลไกธรรมชาติ
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญในการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นและบริษัทจดทะเบียนบางบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องหลายปี ทำให้มีข้อมูลอ้างอิงในการวางเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเตรียมความ พร้อมในการรับมือมาตรการต่างๆ ของต่างประเทศที่ใช้ประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
