รู้จัก! ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เสียชีวิตกะทันหัน โดยปราศจากสัญญาณเตือน
มันคงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก หากการจากไปของคนเราไร้สัญญาณเตือนบอกคนที่รัก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” จึงเป็นอีกโรคหนึ่งที่ควรเฝ้าระวัง เพราะอาจเกิดขึ้นกับตัวเราได้ หากไม่มีการสำรวจร่างกายตนเอง ไม่ดูแลตนเองอย่างถูกวิธี อาจทำให้โรคนี้พรากชีวิตผู้ป่วยไปอย่างกระทันหันได้ วันนี้ TrueID จึงจะพาทุกคนมารู้จักโรคนี้กัน
กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก แนะนำภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) ทำให้เสียชีวิตกะทันหันโดยปราศจากสัญญาณเตือน ต้องรักษาทันที โดยการทำ CPR และใช้เครื่อง AED
- รู้จัก! การทำ “CPR” ช่วยชีวิต “คริสเตียนอีริคเซ่น” ที่คนเดนมาร์กปลูกฝังตั้งแต่ประถม
- หมออธิบายเหตุการณ์ช็อกโลก! ทำไม‘คริสเตียน เอริคเซ่น’ ถึงล้มกลางสนาม
- คนบันเทิงส่งกำลังใจ คริสเตียน อีริคเซ่น นักเตะทีมเดนมาร์ก ช็อกหมดสติกลางสนาม ใน ยูโร 2020
รู้จัก“ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
หัวใจของคนเราทำหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งต้องมีการเต้นเป็นจังหวะต่อเนื่องตลอดเวลา โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 36-42 ล้านครั้งต่อปี การที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน(Sudden Cardiac Arrest) เป็นการสูญเสียการทำงานของหัวใจอย่างกระทันหันจากระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ ทำให้หัวใจห้องล่างมีการเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรงหรือเต้นพริ้ว (Ventricular fibrillation หรือ VF) ซึ่งเกิดขึ้นทันที โดยไม่มีสัญญาณเตือน ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ
อาการ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
ผู้ป่วยจะเกิดอาการวูบหมดสติ เนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง อาจจะมีอาการชักเกร็งกระตุกร่วมด้วย ผู้ป่วยไม่หายใจและคลำชีพจรไม่ได้ซึ่งถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องมีการกู้ชีพ (CPR) ทันที เพื่อให้มีออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอจนกว่าการทำงานของหัวใจจะกลับมาเต้นปกติ โดยใช้เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (AED) การปล่อยให้ล่าช้านานเท่าไหร่โอกาสการรอดชีวิตจะลดลงและถ้าสมองขาดเลือดนานเกินไปผู้ป่วยอาจจะฟื้นแต่มีความพิการทางสมองตามมา
“ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” เกิดขึ้นตอนไหน
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) พบได้ในทุกช่วงอายุแต่พบบ่อยในผู้ใหญ่วัยกลางคน ที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปีโดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2 เท่า สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่ และทุกเวลามักจะพบได้บ่อยใน ขณะออกกำลังกาย โดยไม่มีสัญญานเตือน แตกต่างจากภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart attack) ซึ่งมักจะหมายถึงกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โดยทั่วไปจะมีสัญญานเตือนนำมาก่อนเช่น เจ็บแน่นหน้าอก เหงื่อแตก ใจสั่นหายใจไม่อิ่ม แต่อย่างไรก็ดีการเกิดภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart attack) อาจนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest)ได้
สถิติการเกิด “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
ในประเทศไทยจะยังไม่มีการเก็บสถิติการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันว่ามีความชุกเท่าใด ในอเมริกาพบได้ 325,000 รายต่อปี ซึ่งภาวะนี้พบได้ในผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวเนื่องกับหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด และโรคอื่นๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา (Hypertrophic cardiomyopathy) โรคกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนแรง (Dilated cardiomyopathy) ผู้ที่มีประวัติของการเสียชีวิตกระทันหันในครอบครัว ความผิดปกติในทางเดินกระแสไฟฟ้าของหัวใจ ความผิดปกติแต่กำเนิดของหลอดเลือดโคโรนารีที่เลี้ยงหัวใจ (Abnormalities of coronary arteries) ซึ่งเป็นโรคหัวใจแฝงในบางครั้งไม่แสดงอาการและดูภายนอกเหมือนปกติคนทั่วไป
การรักษา “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาทันทีโดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งหน้าจะต้องมีความรู้เรื่องการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) เพื่อทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ และรู้จักการใช้เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (AED) เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นปกติ ซึ่งถ้ามีการใช้อย่างถูกต้องภายใน 3 นาที จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ 70% และผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นโดยไม่มีความพิการทางสมองหลงเหลืออยู่ แต่ถ้าปล่อยให้เวลาเนิ่นนานออกไปโอกาสรอดชีวิตจะลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ 1 นาที เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงนานเกินไป
การรักษาต้องรักษาที่สาเหตุ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน จากหลอดเลือดหัวใจอุดตันที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิด ST elevation จะต้องได้รับการรักษาทันทีด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือการสวนหัวใจ เพื่อเปิดหลอดเลือด ซึ่งมีระยะเวลาที่เป็นนาทีทอง (golden period) 120 นาที ในการเปิดหลอดเลือดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันบางรายที่มีข้อบ่งชี้แพทย์อาจพิจารณาฝังเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติไว้ในร่างกายเพื่อกระตุกหัวใจ เมื่อมีการทำงานผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตกระทันหันจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
ถ้ามีอาการเองจะไปหาหมอรักษาอย่างไร?
1.ถ้ามีอาการมาก ให้โทรเรียกรถพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน หรือโทรเรียก “1669”
2.ผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการให้อมยาใต้ลิ้น ถ้า 1 เม็ดไม่ดีขึ้น ให้อมเม็ดที่ 2 ห่างจาก เม็ดแรก 5 นาทีถ้าไม่ดีขึ้นหรือไม่แน่ใจให้รีบไปโรงพยาบาล
3.ถ้าสามารถไปโรงพยาบาลได้ ให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้ว แพทย์ก็จะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันหรือตีบรุนแรงแน่นอนแล้ว จะทำการรักษาโดยให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือทำการขยายบอลลูนต่อไป
4.หลังจากนั้นจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ประมาณ 3-5 วัน เพื่อปรับยาและรักษาปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุ
5.ก่อนกลับบ้าน แพทย์ พยาบาล และนักกายภาพบำบัด จะแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพต่อไป
6.ต้องมาตรวจ ติดตามอาการและรับยาเนื่องจาก เป็นโรคที่ไม่หายขาด ต้องกินยาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
แนวทางป้องกัน “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
1.แนะนำให้ไปตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อดูปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
2.ในรายที่มีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ และไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ให้ไปรับการตรวจและรับคำปรึกษาโดยอายุรแพทย์หัวใจ
3.ควบคุม รักษา และป้องกันปัจจัยเสี่ยง
- ความดันโลหิตสูง คุมระดับความดันให้อยู่ประมาณ 130/80 หรือ 140/90 มิลลิเมตรปรอท
- โรคเบาหวาน คุมระดับน้ำตาลในเลือด ในระยะเฉียบพลันไม่ให้เกิน 170 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตรและในระยะยาวต้องคุมให้ระดับอยู่ระหว่าง 110-130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
- ไขมันสูง คุมระดับ LDL ให้ไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
- งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
- รับประทานผักผลไม้
- ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150นาที
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินโดยติดต่อหมายเลข 1669 เพื่อนำส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเบื้องต้นและส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า
ข้อมูลจาก กรมการแพทย์ , สถาบันโรคทรวงอก , มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง