Toxic People ภัยร้ายในที่ทำงาน กดดัน บีบคั้น เสี่ยงฆ่าตัวตาย
เหตุการณ์สลดใจได้เกิดขึ้นอีกครั้งในวงการสาธารณสุขไทย เมื่อเภสัชกรหนุ่มของโรงพยาบาลชื่อดัง ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองก่อนวัยอันควร โดยทิ้งข้อความสุดท้ายผ่านโซเชียลมีเดียถึงหัวหน้างาน สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานจากการถูกกดดันในที่ทำงาน เนื้อหาในข้อความถูกเปิดเผยผ่านเพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ระบุชัดเจนถึงพฤติกรรมของผู้บังคับบัญชาที่ "ไม่เคยเปิดใจรับฟังอะไรทั้งสิ้นและชอบใช้วิธีบีบคั้นหรือกดดันเพื่อให้ลูกน้องลาออก"
Toxic People และหัวหน้า Toxic คืออะไร?
ในบรรยากาศที่มี Toxic People หรือคนที่ทำให้เกิดบรรยากาศเชิงลบ การทำงานร่วมกันอาจเป็นเรื่องท้าทาย คนเหล่านี้มักมีพฤติกรรมที่บ่อนทำลายผู้อื่น หรือสร้างบรรยากาศเชิงลบด้วยการแสดงออกที่ไม่เคารพ การวิจารณ์ในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง หรือการกีดกันหัวข้อสำคัญ ซึ่งมีผลให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกกดดันและถูกกีดกันจากการเติบโตในหน้าที่การงาน
นอกจากนี้ หัวหน้าที่เป็น Toxic Leader จะมีพฤติกรรมกดดันพนักงานในเชิงลบ ไม่สนับสนุนการเติบโต ไม่ให้คำชี้แนะที่สร้างสรรค์ และไม่เคารพความคิดเห็นของพนักงาน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และทำให้การทำงานเป็นเรื่องน่ากดดันและน่าเบื่อหน่าย
สถิติจากกรมสุขภาพจิตชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่าวิตกของอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 6.3 ต่อประชากรแสนคนในปี 2018 เป็น 7.97 ในปี 2022 โดยกลุ่มวัยทำงานช่วงอายุ 15-34 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด สาเหตุหลักมาจากปัญหาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความกดดันจากหน้าที่การงาน และภาวะซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
ผู้เชี่ยวชาญ อธิบายว่า โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยผู้ป่วยจะมีอาการเริ่มต้นที่สังเกตได้ เช่น ความรู้สึกเบื่อหน่ายรุนแรง ขาดความสนใจในสิ่งรอบตัว มีปัญหาการนอน การรับประทานอาหาร และการทำงาน ที่สำคัญคือความรู้สึกไร้ค่าและความคิดทางลบต่อตนเอง
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยังระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 355,537 คนในปี 2563 เป็น 358,267 คนในปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตสุขภาพจิตที่กำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานภายใต้ความกดดันสูง
การแก้ปัญหา Toxic Workplace ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น ลดลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่ซับซ้อน และสร้างช่องทางการสื่อสารแบบเปิด องค์กรควรจัดให้มีระบบประเมินและติดตามสุขภาพจิตของบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจัดตั้งหน่วยให้คำปรึกษาที่เป็นความลับและปลอดภัย
นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้นำองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะด้านการรับฟัง การให้คำแนะนำ และการจัดการความขัดแย้ง ควรมีการอบรมผู้บริหารทุกระดับเกี่ยวกับการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี การให้กำลังใจ และการสนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชา
สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยในปี 2564 มีผู้ใช้บริการสายด่วนนี้ถึง 120,510 สาย แบ่งเป็นผู้ที่มีความเครียดและวิตกกังวลร้อยละ 52 ผู้ป่วยจิตเวชเดิมร้อยละ 38 และผู้มีความคิดฆ่าตัวตายร้อยละ 21
เหตุการณ์ครั้งนี้ควรเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตบุคลากร โดยเฉพาะในวงการแพทย์ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ระบบสนับสนุนทางจิตใจที่เข้มแข็ง และวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากทุกคนในองค์กร ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน ในการร่วมกันสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดี เพราะชีวิตและสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์มีค่าเกินกว่าที่จะปล่อยให้สูญเสียไปอย่างไร้ค่าเช่นนี้