รีเซต

กับดักกตัญญู เปิดความจริงทางเศรษฐกิจ ในยุคที่ลูกเองก็แทบไม่รอด?

กับดักกตัญญู เปิดความจริงทางเศรษฐกิจ ในยุคที่ลูกเองก็แทบไม่รอด?
TNN ช่อง16
10 ตุลาคม 2568 ( 10:39 )
25

ในสังคมไทย “ความกตัญญู” คือคุณธรรมสำคัญที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กทุกคนรู้ว่าต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ต้องดูแลท่านเมื่อแก่เฒ่า ต้อง “ไม่ลืมกำพืด” แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ความคาดหวังแบบเดิมกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับหลายครอบครัว คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต้องเผชิญความขัดแยกระหว่าง “ความรัก” และ “ความอยู่รอด” ในยุคที่ค่าครองชีพสูง หนี้สินล้นมือ และระบบสวัสดิการยังไม่ทั่วถึง คำถามที่เกิดขึ้นคือ ความกตัญญูที่แท้ควรมีขอบเขตแค่ไหน

ภาระที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “ลูกที่ดี”

สำหรับใครหลายคน การเป็นลูกที่ดีหมายถึงการส่งเงินให้บ้านทุกเดือน การอยู่ใกล้พ่อแม่ การยอมลดโอกาสของตัวเองเพื่อดูแลครอบครัว แม้บางคนจะอยากเรียนต่อ ทำธุรกิจ หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่กลับต้องยอมพับฝันไว้ชั่วคราว เพราะต้องรับบท “เสาหลักของบ้าน” คำว่ากตัญญูจึงกลายเป็นกับดักทางใจ ที่ทำให้บางคนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างอิสระ

ในยุคที่รายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายได้ไม่ขยับ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า กลุ่มคนวัยแรงงานไทยจำนวนมากอยู่ในสถานะ “Sandwich Generation” หรือคนรุ่นกลางที่ต้องเลี้ยงดูทั้งพ่อแม่สูงวัยและลูกหลาน ขณะที่ตนเองก็มีหนี้สินติดตัว ภาวะเช่นนี้นำมาซึ่งความเครียดและความรู้สึกผิด เมื่อต้องเลือกระหว่างการดูแลคนอื่นกับการดูแลตัวเอง

กับดักของคำว่า “อกตัญญู”

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน คือการใช้คำว่า “อกตัญญู” เป็นเครื่องตัดสินทางศีลธรรม ลูกที่ไม่ส่งเงิน ไม่กลับบ้าน หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากความคาดหวังของพ่อแม่ มักถูกตราหน้าว่าไม่รู้คุณคน ทั้งที่หลายครั้งลูกเหล่านั้นอาจอยู่ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับปัญหาของตนเอง

จิตแพทย์หลายท่านมองว่า “การทวงบุญคุณ” คือหนึ่งในรูปแบบของการควบคุมทางอารมณ์ (emotional manipulation) ที่ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกผิดและไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงกลายเป็นภาวะที่เหนื่อยล้าทั้งสองฝ่าย พ่อแม่อาจไม่เข้าใจว่าความเครียดของลูกไม่ได้เกิดจากความไม่รัก แต่เกิดจากความคาดหวังที่เกินขอบเขตความสามารถ

เมื่อรัฐหายไป เหลือแต่ “บุญคุณ” เป็นหลักประกัน

โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันผลักภาระการดูแลผู้สูงอายุไว้ในมือของครอบครัวเกือบทั้งหมด ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” อย่างชัดเจน โดยในปี 2553 ประชากรผู้สูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 11.9 และคาดว่าในปี 2573 ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 หรือมากกว่าเท่าตัว ขณะเดียวกัน จำนวนคนวัยแรงงานที่เคยมีเฉลี่ย 6 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน จะลดเหลือเพียง 2 คนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ภาระที่ถ่ายโอนมาสู่ลูกหลานจึงทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นและอัตราการเกิดลดลง ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวกว่าเดิม และมีจำนวนมากขึ้นในกลุ่ม “วัยกลาง” และ “วัยปลาย” ซึ่งต้องการการดูแลด้านสุขภาพและสังคมมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังพบว่าผู้สูงอายุหญิงมีจำนวนมากกว่าชายอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยด้านเพศสภาพจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรถูกนำมาพิจารณาในการออกแบบนโยบายสวัสดิการของประเทศ

สถานการณ์ประชากรเชิงโครงสร้างนี้ตอกย้ำความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริการผู้สูงอายุให้ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อถึงวันที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องมีระบบดูแลทั้งด้านสุขภาพและสังคมรองรับอย่างเพียงพอ หากรัฐยังไม่ขยับ ภาระทั้งหมดจะยังตกอยู่กับลูกหลานที่ถูกคาดหวังให้ “กตัญญู” ในระบบที่ไร้หลักประกันรองรับจากภาครัฐ

ในหลายครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางและล่าง “หนี้กตัญญู” กลายเป็นคำที่สะท้อนภาระทางใจและทางการเงิน ลูกจำนวนไม่น้อยต้องกันเงินส่วนหนึ่งส่งให้บ้านทุกเดือน แม้รายได้จะไม่เพียงพอให้ตัวเองดำรงชีวิตอย่างมั่นคง 

งานวิจัยชี้ว่า คนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวเดิมและครอบครัวใหม่ ต้องเลี้ยงลูก ผ่อนบ้าน และดูแลพ่อแม่ไปพร้อมกัน ส่งผลให้ความสามารถในการออมลดลง และสุขภาพจิตถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

รักโดยไม่ ล้มละลาย ตัวเอง

“กับดักกตัญญู” ไม่ได้เป็นการปฏิเสธคุณธรรม หากแต่เป็นการตั้งคำถามถึงขอบเขตของความรักที่เหมาะสมในความเป็นจริงของชีวิต นักสังคมสงเคราะห์จำนวนมากเสนอให้แยก “ความกตัญญู” ออกจาก “ความจำยอม” เพราะความรักที่แท้ไม่ควรแลกกับการสูญเสียตัวตน การดูแลพ่อแม่อย่างมีสติหมายถึงการทำในสิ่งที่ทำได้ โดยไม่ทำลายสุขภาพกายหรือใจของตนเอง

แนวคิด “กตัญญูอย่างรู้เท่าทัน” กำลังเป็นที่พูดถึงในหมู่คนรุ่นใหม่ หลายคนเริ่มมองว่าการดูแลพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการให้เงิน แต่รวมถึงการให้เวลา การสื่อสารที่อบอุ่น และการสร้างระบบช่วยเหลือระยะยาว เช่น การวางแผนการเงินหรือทำประกันสุขภาพ เพื่อให้ทั้งสองรุ่นมีอิสระและคุณภาพชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน


 

ทางสายกลางของศตวรรษที่ 21

เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ความกตัญญูอาจต้องถูกตีความใหม่ การตอบแทนบุญคุณไม่จำเป็นต้องเป็นการแบกรับภาระทั้งหมด แต่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ความสามารถและความสมัครใจ” การสร้างระบบสวัสดิการที่ดีขึ้นคือทางออกที่ยั่งยืนกว่า เพราะจะช่วยให้ลูกหลานไม่ต้องเป็นหลักประกันชีวิตให้พ่อแม่แต่เพียงลำพัง

ในท้ายที่สุด ความกตัญญูไม่ควรทำให้ใครต้องล้มละลายตัวเอง การรักพ่อแม่ควรมาพร้อมกับการรักตัวเองด้วย การหาทางสายกลางระหว่าง “หน้าที่” และ “ความสุข” อาจเป็นหนทางที่ช่วยให้ทั้งสองรุ่นอยู่ร่วมกันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ต้องเจ็บปวดจากสิ่งที่ควรเป็นความรัก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง