รีเซต

อะไรทำให้ หาดใหญ่ กลายเป็นจุดเช็กอินของน้ำ จากหลายลุ่มน้ำพร้อมกัน?

อะไรทำให้ หาดใหญ่ กลายเป็นจุดเช็กอินของน้ำ จากหลายลุ่มน้ำพร้อมกัน?
TNN ช่อง16
25 พฤศจิกายน 2568 ( 09:58 )

รู้จักเส้นทางน้ำที่ไหลสู่หาดใหญ่ เมื่อภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และการบริหารจัดการก่อรูปเป็นวิกฤตใหญ่

ภาคใต้กำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งหนึ่งที่ถูกจัดว่าเป็นรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ สิบจังหวัดมีประชาชนได้รับผลกระทบรวมประมาณ 560,000 ครัวเรือน จังหวัดสงขลาเพียงจังหวัดเดียวมีน้ำท่วมครบทั้ง 16 อำเภอ คิดเป็นประชาชนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 150,000 ครัวเรือน ในจำนวนนี้อำเภอหาดใหญ่เป็นพื้นที่ที่เผชิญสถานการณ์หนักที่สุดด้วยระดับน้ำสูงที่สุดในรอบ 25 ปี หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดเมืองใหญ่ที่มีระบบผันน้ำสำคัญจึงยังเผชิญน้ำหลากไหลท่วมอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ดร สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ วิเคราะห์ว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้เกิดจากการมาบรรจบกันขององค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือภูมิประเทศที่เป็นแอ่งรับน้ำตามธรรมชาติ ภูมิอากาศที่รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ย และระบบบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่ตอบสนองสถานการณ์ได้เต็มศักยภาพ การทำความเข้าใจเส้นทางน้ำที่ไหลเข้าหาดใหญ่จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้

เส้นทางน้ำจากทุกทิศที่ไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำของเมือง


หาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ไหลลาดลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยธรรมชาติ เมื่อเกิดฝนตกหนัก มวลน้ำจากรอบด้านจะไหลเข้าตัวเมืองก่อนถูกระบายออกสู่ทะเลสาบ เส้นทางน้ำเหล่านี้มีทั้งคลองสายหลักและคลองสายรองที่เดินทางเข้ามาตามช่วงเวลาต่างกัน ความแตกต่างของทิศทางและจังหวะเวลาทำให้ระดับน้ำในเมืองสามารถเพิ่มสูงขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งล่าสุด

คลองอู่ตะเภาเป็นเส้นทางหลักของลุ่มน้ำ มีความยาวประมาณ 116 กิโลเมตร รับน้ำจากอำเภอสะเดาทางทิศเหนือ ก่อนไหลผ่านตัวเมืองหาดใหญ่ลงสู่ทะเลสาบสงขลาที่คูเต่า คลองสายนี้มีศักยภาพระบายน้ำประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับสถานการณ์ฝนปานกลาง แต่เมื่อปริมาณฝนเกิน 120 มิลลิเมตรภายใน 3 ชั่วโมง คลองจะเริ่มเสี่ยงรองรับน้ำไม่ทันเนื่องจากปริมาณน้ำหลากเกินจุดออกแบบ

คลองภูมินาถดำริเป็นโครงการสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยผันน้ำออกจากคลองอู่ตะเภา โดยมีความสามารถระบายได้ประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ออกแบบมาเพื่อแบกรับน้ำส่วนเกินในช่วงที่เกิดมวลน้ำเข้ามาพร้อมกัน อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์รอบนี้ ปริมาณน้ำจากหลายลุ่มน้ำเข้าสู่ตัวเมืองในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ระบบทั้งสองคลองไม่สามารถระบายน้ำได้ทันตามความเร็วของน้ำที่ไหลเข้ามา

เส้นทางอื่นที่มีบทบาทไม่น้อยคือคลองหวะ ซึ่งรับน้ำจากเขาคอหงส์ นาหม่อม และจะนะ น้ำจากทิศทางนี้มักไหลเข้าสู่เมืองในช่วงเย็น ส่วนคลองต่ำซึ่งรับน้ำจากเทือกเขานครศรีธรรมราชทางตะวันตกจะส่งน้ำเข้ามาในช่วงเช้า พร้อมกับคลองวาดที่รับน้ำจากตำบลควนลังทางทิศตะวันออก

เมื่อน้ำจากคลองต่ำและคลองวาดเข้ามาในตอนเช้า ตามด้วยมวลน้ำจากเขาคอหงส์ในตอนเย็น และมวลน้ำขนาดใหญ่หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ทัพหลวง” จากคลองอู่ตะเภาที่เดินทางมาจากสะเดาในช่วงกลางคืน ทั้งหมดจึงไหลมาบรรจบกันในพื้นที่ลุ่มต่ำอย่างหาดใหญ่ภายในกรอบเวลาไม่กี่ชั่วโมง จึงเกิดการเพิ่มระดับน้ำแบบก้าวกระโดดจนกลายเป็นน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้

ฝนที่เข้มข้นและต่อเนื่องเกินกว่าระบบระบายจะรับมือได้

ปัจจัยด้านภูมิอากาศเป็นอีกส่วนที่ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้น ปริมาณฝนที่ตกตั้งแต่วันที่ 19 ถึง 22 พฤศจิกายน มีค่าสะสม 3 วัน สูงถึง 595 มิลลิเมตร มากกว่าระดับสูงสุดของเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2543 และ 2553 ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 515 มิลลิเมตร โดยเฉพาะบริเวณเขาคอหงส์ในอำเภอนาหม่อมที่มีปริมาณฝนรายวันสูงถึง 365 มิลลิเมตร

ปริมาณฝนที่มากเกินค่าเฉลี่ยเกิดจากการรวมตัวของมวลอากาศเย็นจากจีนที่แผ่ลงมาถึงภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับภาวะลานิญญาที่ทำให้ความชื้นในอากาศสูงจนเกิดฝนต่อเนื่องหลายวัน เมื่อน้ำจากหลายลุ่มน้ำไหลเข้าสู่คลองอู่ตะเภาและระบบคลองสายรองในเวลาเดียวกัน ระบบระบายน้ำที่มีอยู่จึงไม่สามารถรักษาระดับน้ำในเมืองให้อยู่ในระดับปลอดภัยได้

บริหารจัดการน้ำและการช่วยเหลือที่ยังไม่เข้าที่เมื่อเทียบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

แม้ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติแบบส่งตรงผ่านโทรศัพท์จะเริ่มทำงานได้ดีขึ้น แต่กระบวนการเตรียมพร้อมรับมือในพื้นที่และการจัดการทรัพยากรด้านการช่วยเหลือยังมีจุดที่ต้องพัฒนาอีกมาก ดร สนธิ ระบุว่าปีนี้เป็นปีที่ประเทศไทยมีน้ำท่วมในทุกภูมิภาค ทั้งที่มีข้อมูลล่วงหน้าว่าเป็นปีที่สภาพอากาศมีความผันผวนอย่างชัดเจน การบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่จึงควรมีความเข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์รุนแรงจนประชาชนจำนวนหนึ่งต้องขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านรอการช่วยเหลือเป็นเวลานาน

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความสามารถของเมืองหาดใหญ่ในการรับมือกับรูปแบบฝนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นทุกปี เส้นทางน้ำที่หลากหลายซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่เมืองพร้อมกัน บวกกับปริมาณฝนที่เกินกว่าขีดออกแบบของคลองสายหลัก ทำให้ระบบระบายน้ำที่เคยเพียงพอในอดีตไม่สามารถรองรับวิกฤตปัจจุบันได้

ในระยะยาวหาดใหญ่อาจต้องทบทวนทั้งผังเมือง ระบบคลอง พื้นที่รับน้ำ และเครื่องมือบริหารจัดการที่ตอบสนองกับสภาพภูมิอากาศรุ่นใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจเส้นทางน้ำที่ไหลเข้าสู่เมืองจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การวางแผนระยะยาวที่ช่วยลดความเสี่ยงในอนาคตของเมืองใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของภาคใต้แห่งนี้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง