"ค่าแรง" ไม่คุ้ม "ค่าแกง" จริงหรือ? จะอยู่รอดไหม เมื่อค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็น 400 บาท?
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในปี 2567 ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างทั้งความหวังและความกังวลให้กับสังคมไทย ท่ามกลางเสียงสนับสนุนจากฝ่ายแรงงานที่เห็นว่าการปรับขึ้นค่าแรงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงคัดค้านจากภาคธุรกิจที่กังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน
นอกจากนี้ ผลสำรวจล่าสุดของ "นิด้าโพล" ยังชี้ให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากของประชาชนว่าการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้อาจจะไม่คุ้ม "ค่าแกง" ที่อาจจะพุ่งสูงขึ้นตาม โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจถึงร้อยละ 60.84 ที่เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้นจะไม่คุ้มกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
บทความนี้จะวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างการปรับขึ้นค่าแรงกับค่าครองชีพที่แท้จริง โดยอาศัยข้อมูลเชิงสถิติจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ พร้อมนำเสนอมุมมองที่หลากหลายจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์และประเด็นท้าทายที่จะต้องได้รับการแก้ไข
ช่องว่าง "ค่าแรง-ค่าครองชีพ" กว้างขึ้น
ช่องว่างระหว่างค่าแรงขั้นต่ำและค่าครองชีพที่แท้จริงในปัจจุบันเป็นประเด็นที่น่ากังวล ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานและธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ค่าแรงขั้นต่ำมีอัตราการปรับเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 ต่อปี
ในขณะที่ค่าครองชีพ หรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) กลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าถึงร้อยละ 1.5 ต่อปี การเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่ช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อเช่นนี้ ส่งผลให้อำนาจซื้อที่แท้จริงของแรงงานมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะสำหรับแรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน หรือประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการครองชีพ เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน
สถานการณ์นี้ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องพึ่งพาการกู้ยืมเพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อรายจ่ายในแต่ละเดือน ส่งผลให้ภาระหนี้สินของครัวเรือนแรงงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีการประมาณการว่า แรงงานมีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงถึง 344,522.22 บาท ซึ่งเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ
โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต และหนี้เพื่อที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของแรงงานเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย
มุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
สำหรับภาคธุรกิจ ในการประชุมของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีมติไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้เหตุผลว่าการปรับขึ้นค่าแรงในอัตราสูงเกินไปจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องแบกรับต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายแรงงานอย่างเช่น นายชาลี ลอยสูง ที่ปรึกษาสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) กลับออกมาสนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรง เพราะเห็นว่าจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นของแรงงานได้ โดยยังมีข้อเรียกร้องให้ค่าจ้าง 400 บาทเป็นค่าแรงแรกเข้า และให้ทุกสถานประกอบการจัดทำโครงสร้างค่าจ้างเพื่อเป็นการประกันรายได้ให้แรงงานในระยะยาวอีกด้วย
นอกจากนี้ นักวิชาการอย่างนายกฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงจะเป็นผลดีต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ค่าครองชีพได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้แรงงานมีภาระหนี้สินมากขึ้นและออมเงินได้น้อยลง
แนวทางของภาครัฐ
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เปิดเผยว่ากระทรวงแรงงานจะมีการรับฟังปัญหาและผลกระทบต่อผู้ประกอบการจากการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ พร้อมทั้งชี้แจงความจำเป็นในการปรับค่าแรงเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของแรงงานจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยจะมีการประชุมร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ก่อนจะนำข้อสรุปเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 และคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายกฤษฎา ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้ภาครัฐเร่งให้คำแนะนำและส่งเสริมอาชีพ พร้อมวางแผนสนับสนุนรายได้ของแรงงานในช่วงที่ขาดรายได้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้แรงงานสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้นและมีภาระหนี้สินที่ลดลง
บทสรุป นโยบายค่าแรง 400 บาท: ท้าทายสมดุล "แรงงาน-ธุรกิจ-เศรษฐกิจ"
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทในปี 2567 สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตแรงงาน แต่ยังคงมีความท้าทายในการสร้างสมดุลกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากความกังวลของทั้งฝ่ายแรงงานที่มีต่อภาระหนี้สินและฝ่ายธุรกิจที่มีต่อต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น ความสำเร็จของนโยบายค่าแรง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองแรงงาน การรักษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจำเป็นต้องมีมาตรการเสริมทั้งในด้านการพัฒนาทักษะแรงงาน การปรับปรุงสวัสดิการ การควบคุมค่าครองชีพ และการส่งเสริมการออม เพื่อให้แรงงานซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงอย่างยั่งยืน
แหล่งที่มาข้อมูล / อ้างอิง
● ข้อมูลอัตราการปรับขึ้นค่าแรงและดัชนีราคาผู้บริโภค: อ้างอิงจากกระทรวงแรงงาน และธนาคารแห่งประเทศไทย
● ข้อมูลค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนแรงงาน: อ้างอิงจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
● ข้อมูลหนี้สินเฉลี่ยของแรงงาน: อ้างอิงจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
● ความคิดเห็นต่อการปรับขึ้นค่าแรง: อ้างอิงจากผลสำรวจของ "นิด้าโพล" และการประชุมของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)