รีเซต

“อนุทิน” ชูแนวทางบาลานซ์มหาอำนาจโลก ด้วยความจริงใจ–วางไทยเป็นพาร์ทเนอร์ ไม่ใช่ขี้ข้าใคร

“อนุทิน” ชูแนวทางบาลานซ์มหาอำนาจโลก ด้วยความจริงใจ–วางไทยเป็นพาร์ทเนอร์ ไม่ใช่ขี้ข้าใคร
TNN ช่อง16
5 พฤศจิกายน 2568 ( 11:47 )
9

มิติใหม่ของวิสัยทัศน์เศรษฐกิจไทยในเวทีโลก

การขึ้นกล่าวของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 หัวข้อ “Thailand’s Next Frontier: A National Economic Vision” เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนแนวคิดเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลปัจจุบัน — ที่ไม่เพียงมองเรื่องตัวเลขการเติบโต แต่เน้น “ความมั่นคงเชิงอธิปไตยทางเศรษฐกิจ” และ “ศักดิ์ศรีความเป็นไทยในโลกสองขั้วอำนาจ”

ในช่วงที่โลกเผชิญการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประเทศขนาดกลางอย่างไทยถูกจับตามองว่าจะเลือกข้างใด แต่คำตอบของนายกรัฐมนตรีกลับชัดเจน — ไทยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกน้องใคร แต่อยู่ได้ด้วยความร่วมมือและความจริงใจ

บาลานซ์สองขั้วอำนาจ ด้วย “ความจริงใจ” ไม่ใช่ “นกมีหู หนูมีปีก”

นายอนุทินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในเวทีเศรษฐกิจระดับชาติว่า

“การจะบาลานซ์ตัวเองกับใครต้องมีความจริงใจ อย่าไปเล่นแบบนกมีหูหนูมีปีก ถ้าเหยียบเรือสองแคม วันหนึ่งคนที่หมดแรงก็คือเรา”

ถ้อยคำนี้ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงทางการเมือง แต่ยังสะท้อน “แนวคิดสมดุลเชิงยุทธศาสตร์” ที่เน้นการใช้จุดแข็งของประเทศเป็นหลัก มากกว่าการอิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การรักษาความสัมพันธ์กับมหาอำนาจต้องตั้งอยู่บนฐานของ ผลประโยชน์ร่วม และ ศักดิ์ศรีของชาติ ไม่ใช่การยอมจำนนต่อแรงกดดัน

นายกรัฐมนตรีชี้ว่า “ประเทศไทยมีดีเยอะ” ทั้งบุคลากรที่มีความสามารถ ทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี และเงินทุนในระบบการผลิต แต่สิ่งสำคัญคือ “ต้องใช้ความจริงใจ” ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็น “ผู้เล่น” ที่มหาอำนาจให้ความเชื่อถือ

จาก “คู่ค้า–พาร์ทเนอร์” สู่ “อธิปไตยทางเศรษฐกิจ”

หนึ่งในประโยคสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดจากเวทีคือ

“เราต้องวางตัวให้เป็นพาร์ทเนอร์ เป็นคู่ค้าคู่คิด ไม่ใช่ขี้ข้าใคร เราต้องเลือกข้างตัวเอง คิดถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ”

คำกล่าวนี้สะท้อนจุดยืนทางเศรษฐกิจ–การเมืองของรัฐบาลอนุทินที่เน้น “ความร่วมมือแบบเท่าเทียม” ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางพึ่งพามหาอำนาจในอดีต การเลือกข้าง “ตัวเอง” หมายถึงการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างขีดความสามารถภายในประเทศ ทั้งด้านพลังงาน อาหาร เทคโนโลยี และการผลิต

นายอนุทินยังชี้ว่า หากวันหนึ่งไทยต้องอยู่ลำพัง ก็ต้องมั่นใจว่าสามารถผลิตอาหารและปัจจัย 4 ได้เอง พร้อมยกตัวอย่างจากการเดินทางที่เห็นทรัพยากรในประเทศยังเหลือมหาศาล ทั้งที่ดิน แหล่งน้ำ และระบบพลังงาน ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นฐานเศรษฐกิจใหม่โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน

“เศรษฐกิจไทยไม่ขาดศักยภาพ แต่ขาดการเชื่อมั่นในตัวเอง”

จากคำกล่าวทั้งหมดของนายกรัฐมนตรี ประเด็นสำคัญไม่ใช่เพียงการรักษาสมดุลเชิงการทูต แต่คือ การสร้าง “อัตลักษณ์ทางเศรษฐกิจของไทย” ที่พึ่งพาตนเองได้โดยไม่ตัดขาดโลกภายนอก

การลงทุนในประเทศ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ และการพัฒนาเทคโนโลยีภายใน คือหัวใจของยุทธศาสตร์ “Thailand’s Next Frontier”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับนโยบาย “High Value Economy” ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน เพื่อยกระดับจากประเทศที่ผลิตต้นน้ำ ไปสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาค โดยใช้ “ความเท่าเทียม ความยุติธรรม และความน่าเชื่อถือ” เป็นหลักในการพัฒนา

บทวิเคราะห์ สมดุลใหม่ของไทยในโลกหลายขั้ว

ท่าทีของนายอนุทินในเวทีนี้มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์ เพราะแสดงให้เห็นว่า ไทยพยายาม “สร้างพื้นที่ทางการทูต” ที่ไม่ตกเป็นเหยื่อการแข่งขันของมหาอำนาจ ขณะเดียวกันยังรักษาความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจแบบ “พาร์ทเนอร์ที่มีคุณค่า” ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศในยุคใหม่

ความท้าทายอยู่ที่การนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติจริง  สร้างสมดุลระหว่างการลงทุนต่างชาติและการใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างยั่งยืน หากทำได้สำเร็จ “บาลานซ์ด้วยความจริงใจ” อาจกลายเป็นโมเดลใหม่ของภูมิภาค ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีโลกได้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง