สิ้นสุดสันติภาพ? ทหารไทยเหยื่อทุ่นระเบิดกัมพูชาต่อเนื่อง สัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ถึงตางตันหรือไม่

ขาข้างที่ 7 ของทหารไทย ได้สูญเสียไปแล้ว ณ ห้วยตามาเรีย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 68

นี่เป็นการเหยียบทุ่นระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ ครั้งที่ 7 ในช่วงเวลา 90 วัน นับแต่การเหยียบทุ่นระเบิดครั้งแรก เมื่อ 12 สิงหาคม 

การประชุม สมช. หรือ สภาความมั่คงแห่งชาติในวันนี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศจุดยืนแล้ว 3 ข้อ ต่อการเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุดนี้ คือ 

หนึ่ง การสูญเสียกำลังพลของกองทัพไทย เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

สอง ทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย มีผลต่อความมั่นคงของไทย

สาม รัฐบาลไทยระงับการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด รวมถึงยุติการส่งเชลยศึก 18 คนให้กับกัมพูชาอย่างไม่มีกำหนด

รัฐบาลไทยและกองทัพบก ขอรักษาสิทธิในการป้องกันตัวเอง หลังพบว่ากัมพูชายังมีท่าทีปรปักษ์ต่อไทยอยู่ จากการลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในอธิปไตยไทย 

ในฝั่งของกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการประท้วงทางวาจาไปแล้วกับทางรัฐบาลกัมพูชา และจะประท้วงทางลายลักษณ์อักษรต่อไป โดยยึดตามอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 

ด้านฝ่ายกัมพูชานั้น ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ ปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยยืนยันว่าเป็ฯทุ่นระเบิดเท่าที่ยังไม่ได้เก็บกู้มา 3 ทศวรรษ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศยากลำบากและเป็นพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ปักปัน

กัมพูชายัง ยืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามถ้อยแถลงที่ได้ลงนามร่วมกัน พร้อมยืนยันอีกครั้งว่ากัมพูชาในฐานะผู้สนับสนุนและรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่เคยใช้ทุ่นระเบิดใหม่ใดๆ และจะไม่มีทางทำเช่นนั้น

หากย้อนไปที่การลงนามถ้อยแถลงร่วม ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่มาเลเซียเมื่อปลายเดือนที่แล้ว รัฐบาลไทยเคยเรียกว่า มันเป็นเส้นทางสู่สันติภาพ และการเริ่มเยียวยาความสัมพันธ์ของสองชาติ 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และการยุติข้อตกลงทั้งหมด หลังพบทหารไทยยังเป็นเหยื่อทุ่นระเบิดกัมพูชา ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า นี่จะเป็นทางตันของสันติภาพ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามาเป็นตัวกลางหรือไม่