รีเซต

“โซมาเลีย” อพยพครั้งใหญ่ เดินทาง 8 วันหนีภัยแล้ง

“โซมาเลีย” อพยพครั้งใหญ่  เดินทาง 8 วันหนีภัยแล้ง
TNN ช่อง16
9 ธันวาคม 2568 ( 11:30 )
14

วิกฤตภัยแล้งใน “โซมาเลีย” กำลังผลักดันผู้คนนับพันให้ต้องละทิ้งบ้านเกิดและทรัพย์สินที่พวกเขามีอยู่เพียงเล็กน้อย ครอบครัวจำนวนมากเดินเท้าข้ามพื้นที่แห้งแล้งมุ่งสู่ชานเมืองโมกาดิชู เพื่อสร้างที่พักชั่วคราวจากผ้าใบและกิ่งไม้ หลังลำน้ำในภาคใต้แห้งผากและฝนตามฤดูกาลไม่ตกลงมาอย่างที่ควรจะเป็น การเดินทางของผู้พลัดถิ่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เช่นเดียวกับคาดิโจ อาลี แม่ชาวคอร์โยเลย์ที่ต้องเดินทางนานถึง 8 วัน และตัดสินใจทิ้งสมาชิกในครอบครัวบางคนไว้เบื้องหลังเพราะพวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางไกล เธอสูญเสียทั้งบ้าน ทั้งทรัพย์สิน และแม้แต่โอกาสในการรักษาชีวิตครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน

ในค่ายอพยพ ผู้นำชุมชนอย่างฮาวา อาลี ฟัลฮัด ยืนยันว่ามีครอบครัวใหม่กว่า 400 ครอบครัวเดินทางมาถึงเมื่อไม่นานมานี้ หลายคนมาจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักจากภัยแล้งและความไม่มั่นคง แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานด้านมนุษยธรรมเมื่อมาถึง สถานการณ์นี้สะท้อนปัญหาซ้ำซ้อนของโซมาเลีย ทั้งสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงและภาวะความไม่มั่นคงที่ยืดเยื้อ ซึ่งทำให้ผู้คนเปราะบางยิ่งขึ้น


การอพยพครั้งใหญ่เกิดขึ้นควบคู่กับช่วงเวลาที่บรรดารัฐมนตรีจากทั่วโลกมารวมตัวกันที่ไนโรบี เพื่อร่วมประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติสมัยที่เจ็ด ภายใต้แนวคิดการผลักดันโซลูชันที่ยั่งยืนเพื่อโลกที่มีภูมิต้านทาน การประชุมครั้งนี้มีร่างมติหลายประเด็น ตั้งแต่ความยั่งยืนด้านปัญญาประดิษฐ์ไปจนถึงการจัดการไฟป่าและวัฏจักรน้ำ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อประเทศที่เผชิญภัยพิบัติบ่อยครั้งเช่นโซมาเลีย

ผลกระทบของฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาลทำให้พื้นที่เพาะปลูกสำคัญทางตอนใต้ตกอยู่ในภาวะวิกฤต รัฐบาลโซมาเลียต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ขณะที่สหประชาชาติเตือนว่าประชาชน 4.4 ล้านคนอาจเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารเฉียบพลัน และเด็กเล็กกว่า 1.85 ล้านคนเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการรุนแรง สถานการณ์นี้เน้นย้ำถึงความไม่เท่าเทียมในการรับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เพราะแม้โซมาเลียจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ แต่กลับต้องเผชิญผลกระทบที่รุนแรงที่สุด

นักวิจัยจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนล เช่น เดวิด งิรา ชี้ให้เห็นว่า ประเทศยากจนไม่ใช่ผู้ก่อปัญหาโลกร้อน แต่กลับต้องแบกรับภาระหนักที่สุด เขาย้ำว่าประเทศร่ำรวยควรมีพันธกรณีในการสนับสนุนประเทศแนวหน้าเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ใช่ต้นเหตุของวิกฤต ทว่าเป็นผู้รับผลโดยตรง ขณะที่หน่วยงานของสหประชาชาติเองก็ยอมรับว่าผู้พลัดถิ่น เกษตรกร และชุมชนเร่ร่อนคือกลุ่มที่จะเผชิญภาวะความหิวโหยรุนแรงที่สุด และต้องการการช่วยเหลือเร่งด่วนควบคู่กับการลงทุนระยะยาวในระบบน้ำและเกษตรที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ

วิกฤตของโซมาเลียจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของประเทศหนึ่งในแอฟริกาตะวันออก แต่เป็นภาพสะท้อนของความไม่สมดุลที่ลึกซึ้งของโลกยุคโลกร้อน เป็นคำเตือนว่าภัยพิบัติไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีรากเหง้าจากพฤติกรรมของมนุษย์ และผลกระทบไม่ได้กระจายไปอย่างเท่าเทียม ประเทศที่อ่อนแอที่สุดกลับต้องเผชิญความรุนแรงที่สุด และเสียงของพวกเขาควรได้รับการได้ยินมากกว่านี้ในเวทีโลก หากโลกต้องการอนาคตที่ยั่งยืนและยุติธรรมกว่าเดิมสำหรับทุกคน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง