อนุฯตรวจสอบพบ 3 ช่องทางสอบการฟอกเงินสีเทา”ทองคำ-คริปโท-ร้านรับแลกเปลี่ยนเงิน”

#ทันหุ้น อนุกรรมการสอบเงินสีเทาพบ 3 ช่องทางสอบการฟอกเงินสีเทา ทองคำ คริปโท ร้านรับแลกเปลี่ยนเงิน พร้อมตั้งคณะทำงานดาตาบูโรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูล คาดแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้มีความชัดเจน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยภายหลังประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยครั้งที่ 1 ว่า ที่ประชุมได้ตั้งภารกิจในการตรวจสอบ คือ ธุรกรรมการเงินที่ต้องสงสัยว่า มีช่องทางอะไรบ้าง จากนั้น ก็จะต้องทำการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อขจัดเงินสีเทา
เขากล่าวว่า ที่ประชุมได้พบ 3 ช่องทางทางการเงินที่อาจเป็นพฤติกรรมที่ต้องสงสัย และช่องทางที่ใช้ในการฟอกเงิน ได้แก่ 1. สกุลเงินดิจิทัล (คริปโต/สินทรัพย์ดิจิทัล) ทั้งส่วนที่อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และส่วนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล (เช่น Private Wallet หรือแพลตฟอร์มต่างประเทศ) 2. Money Changer หรือตลาดเงินสด ทั้งที่ถูกกฎหมายและที่ลักลอบดำเนินการ 3. ตลาดทองคำ ทั้งทองคำแบบกายภาพ (Physical) และตลาดทองคำแบบกระดาษ (Delivery/Paper-based) ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรงในเรื่อง KYC
“เราพบว่าธุรกรรมการเงินที่ไหลเข้ามา เป็นธุรกรรมที่ต้องสงสัยมักจะถูกนำไปฟอกผ่านการซื้อทองคำ, การซื้ออสังหาริมทรัพย์, การซื้อรถหรู, หรือการซื้อเพชร เป็นต้น แต่ช่องทางการเงินเหล่านี้ บางส่วนมีหน่วยงานกำกับ บางส่วนยังไม่มีการ เช่น คริปโต ก็จะมีก.ล.ต.ในการกำกับดูแล แต่ก็มีคนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ก็เป็นช่องโหว่ที่ต้องมีระบบเข้ามาดูแล ส่วนทองคำ ก็มีทั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้า ไม่มีใครกำกับ และมีมันนี่เชนเจอร์ก็มีแบงก์ชาติกำกับ เมื่อธุรกรรมทางการเงินไหลมาผ่านช่องทางนี้ ก็จะไปฟอกผ่านการซื้อสินค้า เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถหรู เพชร เราก็ได้คุยกัน และได้ดูกฎหมายที่กำกับ”
เขากล่าวด้วยว่า เมื่อเราพบช่องทางทางการเงินที่ต้องสงสัยแล้ว ก็จะนำไปสู่ช่องทางการตรวจสอบ ที่ประชุมจึงได้ตั้งคณะทำงานดาตาบูโร เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลเส้นทางการเงินที่ต้องสงสัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ก.ล.ต.,ปปง.,สรรพากร,กระทรวงพาณิชย์,กระทรวงดีอี,กรมศุลกากร,กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
ทั้งนี้ หัวใจของการตรวจสอบ ประกอบด้วย 1.การพิสูจน์ตัวตน (Know Your Customer/Profiling) ตรวจสอบว่าบุคคลหรือนิติบุคคลนั้นคือใคร เป็นตัวจริงหรือไม่ หรือเป็นนอมินี แม้ปัจจุบันธนาคารจะมีข้อกำหนด KYC ที่เข้มงวด แต่ตลาดบางประเภท เช่น ทองคำ และคริปโตเคอเรนซี่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ยังขาดการตรวจสอบที่เข้มงวดนี้
2.พฤติกรรม (Behavior) ตรวจสอบพฤติกรรมแปลกๆ ที่ไม่สอดคล้องกับโปรไฟล์ เช่น นักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจที่มีเงินไหลเข้าออกผิดปกติจากพฤติกรรมที่ควรจะเป็น
3.การเงินไหลเข้าไหลออก (Transaction) ตรวจสอบเส้นทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ผ่าน Exchange หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เขากล่าวว่า การทำดาตาบูโรมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลทางการเงินของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล FATF (Financial Action Task Force on Money Laundering) และมีกำหนดให้ระบบเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธ.ค.นี้
“การทำงานครั้งนี้เป็นไปในลักษณะการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ (แก้ปัญหาทั้งระบบ) โดยคณะทำงานจะใช้กรณีตัวอย่างจริงมาทดลองดูเส้นทางการเงิน เพื่อค้นหาช่องโหว่ของกฎหมาย โดยวางเป้าหมายสิ้นเดือนพ.ย.นี้ จะได้เห็นรูปแบบดาต้าบูโร และภายในธ.ค.68 ไทยต้องดูแลการเงินในระดับมาตรการสากล”
ทั้งนี้ คณะทำงานตระหนักว่ากฎหมายปัจจุบันของแต่ละหน่วยงาน (เช่น ปปง., แบงก์ชาติ, ก.ล.ต.) มีข้อจำกัด การเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Data Bureau จึงจำเป็นในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายในการเปิดเผยข้อมูลต่อบุคคลภายนอก เช่น กฎหมาย PDPA และกฎหมายของกรมสรรพากร สามารถใช้ข้อยกเว้นเพื่อประโยชน์สาธารณะมาดำเนินการได้
นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมกำลังเร่งดำเนินการร่างกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ที่ไม่สามารถใช้กฎหมายปัจจุบันเอื้อมถึง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง Beneficiary Ownership (การสืบทรัพย์ว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริงที่ได้รับประโยชน์) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล หากธุรกรรมนั้นทำโดยบุคคลต่างชาติ หรือเงินไหลออกไปต่างประเทศ หรือเข้าสู่ประเทศที่เป็นสวรรค์ทางภาษี (Tax Heaven) จะต้องใช้กลไกของกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล (FATF) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
“คณะทำงานชุดนี้วางเป้าหมายว่าจะกลับมาประชุมเพื่อทบทวนช่องว่างทางกฎหมายและข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลในอีก 2 สัปดาห์ และมุ่งมั่นให้ประเทศไทยมีระบบการกำกับดูแลธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยที่ได้มาตรฐานสากลหรือดีกว่านั้น”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
