SMO หุ้นไอพีโอฮอต นลท.แห่จองเกลี้ยงพร้อมเทรด 10 พ.ย.นี้

#SMO #ทันหุ้น – SMO หุ้น IPO กระแสตอบรับล้น ยอดจองเกลี้ยง 231.6 ล้านหุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจน้ำมันปาล์มที่แข็งแกร่ง ผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ตระกูล “พวงมาลา–พิริเยศยางกูร–ลัม” ล็อกอัพยาว ด้าน APM ที่ปรึกษาทางการเงิน ชี้พื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจผลิตน้ำมันปาล์มมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ดันกำไรครึ่งปี 2568 พุ่งกว่า 300% พร้อมเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ 10 พฤศจิกายนนี้
ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เปิดเผยว่า SMO ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั่วประเทศที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ SMO หมดทั้งจำนวนที่เสนอขาย 231.60 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ กลุ่มครอบครัวผู้ถือหุ้นหลัก 3 ครอบครัว ประกอบด้วย ครอบครัวพวงมาลา, กลุ่มครอบครัวพิริเยศยางกูร, กลุ่มครอบครัวลัม ได้ร่วมแสดงความมั่นใจในศักยภาพของบริษัทด้วยการ Lock-Up ทั้งหมด
ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็ร่วมถือยาวยกเว้นเพียง 3% เท่านั้น ตอกย้ำความมั่นใจในเสถียรภาพของโครงสร้างผู้ถือหุ้นและทิศทางการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทซึ่งรวมถึงผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยังอยู่ภายใต้เกณฑ์การห้ามขายหุ้น (Silent Period) ตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่หุ้นของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้ถือหุ้นต่อศักยภาพและอนาคตของบริษัท
*พร้อมเทรด 10 พ.ย.นี้
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า SMO มีความพร้อมที่จะเข้าซื้อขายวันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นี้ โดย SMO ถือเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจมั่นคง แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในด้านโรงงานสกลัดน้ำมันปาล์มดิบ และด้วยจุดเด่นการเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) โดยจะเห็นได้จากผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการดำเนินงาน การบริหารจัดการ และโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แสดงถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้บริหารและนักลงทุน
ทั้งนี้ผลประกอบการของ SMO ในช่วงปี 2565-2567 บริษัทมีรายได้รวม 6,870.42 ล้านบาท 5,894.14 ล้านบาท และ 6,261.09 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 129.52 ล้านบาท 218.78 ล้านบาท และ 259.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 1.89 ร้อยละ 3.71 และร้อยละ 4.14 ตามลำดับ สำหรับงวด 6 เดือนปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 4,965.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.58 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 10.55 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 305 จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
*หุ้น IPO ยอดจองเกลี้ยง
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SMO เปิดเผยว่า หุ้นไอพีโอ SMO ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น IPO ครบทั้งจำนวน 231.60 ล้านหุ้น ซึ่งจากการกำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 5.40 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม โดยคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.6 เท่า โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นในรอบ 12 เดือนล่าสุด (ตั้งแต่เดือนก.ค. 2567 ถึงมิ.ย. 2568) ซึ่งเท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น (Fully Diluted)
ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีอัตรา P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.8 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น SMO ในเชิงมูลค่า ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานธุรกิจ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรม มีศักยภาพสูงในการเติบโตในอนาคต
*ลุยขยายโรงงานน้ำมันปาล์ม
นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMO เปิดเผยว่า บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นและตอบรับการจองซื้อหุ้น IPO ของ SMO อย่างอบอุ่น การระดมทุนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญยังถือเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการก้าวสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนใช้เงินเพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ โดยมุ่งเน้นการขยายโรงงานผลิตไปยังพื้นที่อื่นเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม รวมทั้งลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างธุรกิจโดยรวม เพื่อลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม การชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
