รีเซต

BEM ย้ำพื้นฐานแข็งแกร่ง  ทุกธุรกิจกำไรโตต่อเนื่อง

BEM ย้ำพื้นฐานแข็งแกร่ง  ทุกธุรกิจกำไรโตต่อเนื่อง
ทันหุ้น
6 พฤศจิกายน 2568 ( 02:00 )
21

            แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาขยายสัมปทาน เพื่อลงทุนวงเงินราว 3.5 หมื่นล้านบาทสร้างทางด่วนขั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9  เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบนทางด่วน และลดค่าผ่านทางทางด่วนในเมืองเหลือไม่เกิน 50 บาท จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ราว 90 บาท เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชน ว่า ปัจจุบันการเจรจาร่วมระหว่างบริษัทกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว การดำเนินงานขั้นต่อไป กระทรวงคมนาคมเตรียมเสรอบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติตาม พรบ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 คาดว่าจะลงนามสัญญาได้ภายในธันวาคม 2568 เบื้องต้นคาดว่าจะลงนามสัญญาได้ภายในธันวาคม 2568

            พร้อมกันนี้ ยืนยันว่า ความร่วมมือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนครั้งนี้ ไม่กระทบกับรายได้ของ BEM ตามสัญญาเดิม เนื่องจาก กทพ. ได้พิจารณาปรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางในเมืองลงจากปัจจุบัน กทพ. 60 BEM 40 ลงมาอยู่ที่ 50:50

ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมด้านการลงทุนสร้าง Double Deck งบลงทุนประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท  โดยสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนได้หลากหลาย  ประกอบกับบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศระยะยาวจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Outlook Stable) จะเอื้อต่อการบริหารจัดการอัตราดอกเบี้ยจ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างมีนัยสำคัญ

“ปัจจุบันสัญญาสัมปทานด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน A, B, C, D) สิ้นสุดปี 2578 ถ้านต่ออกไปอีก 15 หรือ 20 ปีไปเป็น ปี 2593 หรือปี 2598 คาดว่าหลัง Double Deck ให้บริการ รถจะติดน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้ทางเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15%  ทั้งยังมีสัมปทานเดินรถไฟฟ้าอีกเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพทางธุรกิจของบริษัทไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร และกระแสเงินสดนั้นแข็งแกร่ง”

*จ่อเพิ่มขบวนรถไฟฟ้า

สำหรับธุรกิจรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 520,000 คนต่อวันทำการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มอีก 21 ขบวนรองรับการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรีในปี 2570 เบื้องต้นคาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 650,000 คนต่อวันทำการ

ส่วนรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมีประมาณ 1,200 ล้านบาท/ปี จะโตขึ้นอีกกว่า 20% สอดคล้องกับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ BEM ยังมีรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีม่วงอีกกว่า 2,200 ล้านบาทต่อปี รวมถึงรายได้ในอนาคตจากรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2570 (ส่วนตะวันออก) และทั้งสายในปี 2573

“เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นวงกลมเชื่อมฝั่งพระนคร - ฝั่งธนบุรี รองรับการส่งต่อผู้โดยสารจากรถไฟฟ้าสาธารณะในเมืองได้ทุกสายทาง ดังนั้นผู้โดยสารจะเติบโตได้ทั้งจากพัฒนาพื้นที่แนวรถไฟฟ้า  การสร้างรถไฟฟ้าขนส่งสาธารณะเส้นทางอื่นๆ  และการเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าภายใต้สัญญาสัมปทาน และการรับจ้างเดินรถ”

*เล็งไตรมาส 3 นิวไฮ

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ของปี 2568 สะท้อนจากปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้า MRT เดือนกันยายน 2568 ที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และปริมาณการจรจรบนทางด่วนที่ทรงตัวได้ที่ราว 1.1 ล้านเที่ยววัน ประกอบกับความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่งวดไตรมาส 4/2568 ยังมีปัจจัยหนุนจาก โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง - สายสีม่วง 40 บาทต่อวัน และการเดินทางช่วงเทศกาลเข้ามหนุนปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้า MRT

ขณะเดียวกัน การพิจารณาประกาศ อันดับเครดิตระยะยาวภายในประเทศ (national long-term rating) ให้แก่ BEM ที่ระดับ 'A(tha)' พร้อมกับมี มุมมอง "มีเสถียรภาพ" (stable outlook) ของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) (Fitch Ratings) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จะเข้ามาเสริมศักยภาพด้านการบริหารจัดการเครื่องมือทางการเงิน ควบคุมภาระอัตราดอกเบี้ยจ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

            “จากการวิเคราะห์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วหุ้นกู้จะลดลงประมาณ 0.8% จากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตครั้งนี้ และแม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวจากธนาคาร แต่ BEM ก็ได้รับข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำจากธนาคารอยู่แล้ว”

*ชูหุ้นแลกการ์ด

            ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าทางธุรกิจ BEM พบว่า มูลค่าธุรกิจทางด่วนอยู่ที่ 4.90 บาท  ธุรกิจรถไฟฟ้าอยู่ที่ 5 บาท  ดังนั้นราคาซื้อ - ขายหุ้น BEM ณ ปัจจุบันที่ราว 5.30 บาทต่อหุ้นนั้นสะท้อนเพียงมูลค่าของธุรกิจทางด่วนเท่านั้น

            ประกอบกับภาระอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่มีแนวโน้มลดลง จึงพิจารณาปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรหลัก (Core Profit) ปี 2568 ขึ้น +1.8% มาอยู่ที่ 3,919 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.9% YoY ปี 2569 ขึ้น +1.8% แตะ 4,140 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.7% YoY  และปี 2570 เพิ่มขึ้น +3% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ” ธีมหุ้น Laggard และปรับเพิ่ม ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568 ขึ้น 11% จาก 9.75 บาท เป็น 10.85 บาท เพื่อสะท้อนถึง ต้นทุนหนี้สินระยะยาวที่ลดลง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง