"เมย์แบงก์" สแกน กลุ่ม Finance เปิดโผหุ้นเด่น-หุ้นดับ
#ทันหุ้น - บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ส่อง หุ้นกลุ่ม Finance คาดว่า NIM ของกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) จะลดลงเนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2566 ทั้งนี้ ผลประกอบการของทั้งกลุ่มน่าจะดีขึ้นหลังอัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะจุดสูงสุด ผนวกกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นใน 2H66 ประเมินกำไรของทั้งกลุ่มเติบโต 11% YoY ในปี 2565 และ 12% ในปี 2566-67 จากการเติบโตของสินเชื่อและ NII ที่แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยยังคงเป็น ASK และ TIDLOR เนื่องจากมีแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่ 18-20% ในปี 2566 ความเสี่ยงที่สำคัญคือคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด คงคำแนะนำ “ขาย” SAWAD เนื่องจากงบดุลอ่อนแอ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์สูงขึ้น และ NPL Coverage ต่ำที่สุด
สินเชื่อเติบโตดีแต่ NIM ลดลง ฝ่ายวิจัยคาดว่าความต้องการสินเชื่อจะดีขึ้นในไตรมาส 4/65 และปี 66 เนื่องจากเศรษฐกิจกลับมาและอัตราเงินเฟ้อสูง คาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 22% และ 14% ในปี 65-66 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้รายได้จากนายหน้าประกันภัยเติบโต โดยเฉพาะ TIDLOR และ ASK ที่เน้นปั้นรายได้จากทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ประเมินรายได้ non-NII ของ TIDLOR และ ASK ที่ 15-16% เทียบกับค่าเฉลี่ยของภาคธุรกิจที่ 6% ในปี 66 ในแง่ลบ NIM ของภาคธุรกิจน่าจะลดลง 60 bps YoY เป็น 15.8% ในปี 66 เนื่องจากต้นทุนการจัดหาเงินทุนจะเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนใหญ่คงที่
คาดต้นทุนสินเชื่อทรงตัวจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอ จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้มีรายได้น้อย (ลูกค้าหลักของภาคธุรกิจ) คาดว่าอัตราส่วน NPL ของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น 21 bps YoY เป็น 3.11% ในปี 66 ดังนั้น ต้นทุนสินเชื่อน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปี 66 เทียบกับ 3.6% ใน ปี 65 โดยต้นทุนสินเชื่ออาจพุ่งแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 2/66 และลดลงใน 2 ครึ่งหลังของปี 66
โดยคุณภาพสินทรัพย์ของ KTC และ TIDLOR ยังคงดีกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (LLR) ต่อ NPL ที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ SAWAD เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นผนวกการกลับรายการตั้งสำรอง ขณะที่ NPL coverage และ LLR ต่อ NPL ต่ำที่สุดในกลุ่มที่ 51% และ 1.4% ในไตรมาส 3/65
คาดกำไรเติบโต 12% YoY ในปี 66 ทั้งนี้ คาดกำไรของทั้งกลุ่มเติบโต 12% YoY ในปี 66 จากสินเชื่อและ NII โตแกร่ง โดย ASK และ TIDLOR น่าจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตสูงสุดที่ 18-20% จากการเติบโตของ NII และ non-NII ที่แข็งแกร่ง ส่วนกำไรของ SAWAD คาดว่าจะเติบโตต่ำสุดที่ 7% เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ROE ของทั้งกลุ่มจะลดลงเหลือประมาณ 19% ในปี 65-66 จาก 20-27% ในปี 61- 64 เนื่องจาก NIM ที่ลดลงและคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง มองว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในภาคการเงินอยู่ในระดับต่ำหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดสำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคทุกประเภทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา