รีเซต

โควิด-19 : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ ส.ค. ปีที่แล้ว ตามที่นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้จริงหรือไม่

โควิด-19 : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ ส.ค. ปีที่แล้ว ตามที่นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้จริงหรือไม่
ข่าวสด
15 มิถุนายน 2563 ( 16:25 )
111
โควิด-19 : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ ส.ค. ปีที่แล้ว ตามที่นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้จริงหรือไม่

 

โควิด-19 : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ ส.ค. ปีที่แล้ว ตามที่นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้จริงหรือไม่ - BBCไทย

 

งานวิจัยจากสหรัฐฯ ซึ่งชี้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่นของจีนตั้งแต่เดือน ส.ค. ปีที่แล้วกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก

 

งานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งตีพิมพ์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาและได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางถูกทางการจีนปฏิเสธ และยังโดนนักวิทยาศาสตร์อิสระตั้งคำถามถึงกระบวนการการทำวิจัยด้วย

 

งานวิจัยว่าอย่างไร

 

งานวิจัยชิ้นนี้ ซึ่งยังไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลหรือทฤษฎีโดยผู้เชี่ยวชาญหรือ "peer review" ใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมดูการจราจรในบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ในเมืองอู่ฮั่น และดูข้อมูลการค้นหาอาการทางการแพทย์บางอย่างบนอินเทอร์เน็ต

 

Getty Images

งานวิจัยระบุว่า มีรถจอดเพิ่มขึ้นบริเวณโรงพยาบาล 6 แห่งในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. จนถึงเดือน ธ.ค. งานวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า ปริมาณการค้นหาอาการ "ไอ" และ "อาการท้องร่วง" ซึ่งเป็นอาการของโรคโควิด-19 บนอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นด้วย

หากข้อมูลนี้ได้รับการพิสูจน์ ก็จะขัดกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกในอู่ฮั่นตอนต้นเดือน ธ.ค.

Getty Images
งานวิจัยระบุว่า มีรถจอดเพิ่มขึ้นบริเวณโรงพยาบาล 6 แห่งในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. จนถึงเดือน ธ.ค.

นักวิชาการระบุว่า "แม้เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าปริมาณที่เพิ่มขึ้น(ของรถและการค้นหาคำบนอินเทอร์เน็ต) เกี่ยวข้องกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่โดยตรง หลักฐานที่เรามีสนับสนุนงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ ที่ออกมาเร็ว ๆ นี้ที่บอกว่าเกิดการระบาดก่อนที่จะมีการไปตรวจพบบริเวณตลาดอาหารทะเลหัวหนาน"

 

งานวิจัยนี้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง แม้แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทวีตข่าวเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ที่รายงานโดยสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ ซึ่งถึงตอนนี้มีคนดูมากกว่าสามล้านครั้ง

 

หลักฐานเชื่อถือได้ไหม

งานวิจัยอ้างว่ามีคนค้นหาคำว่า "อาการท้องร่วง" มากขึ้นบนเว็บไซต์ค้นหาไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีน

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จากบริษัทไป่ตู้กลับบอกว่าช่วงนั้นมีการค้นหาคำว่า "อาการท้องร่วง" น้อยลง

หากแปลจากภาษาจีน คำที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใช้คือ "อาการของโรคท้องร่วง" บีบีซีตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือซึ่งให้ผู้ใช้ไป่ตู้ตรวจสอบความนิยมของคำ คล้ายกูเกิลเทรนด์ (Google Trends) และพบว่ามีคนเริ่มค้นหาคำว่า "อาการของโรคท้องร่วง" เพิ่มขึ้นจริง ๆ ตั้งแต่เดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ไปจนถึงเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

มีคนค้นหาคำว่า "ไข้" และ "ไอ" เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีการค้นหาคำว่า "อาการหายใจลำบาก" น้อยลง

งานวิจัยชิ้นนี้ถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงใช้ "อาการท้องร่วง" เป็นตัวบ่งชี้ของโรค

งานวิจัยชิ้นหนึ่งในสหราชอาณาจักรซึ่งศึกษาคนไข้เกือบ 17,000 ราย พบว่าอาการท้องร่วงเป็นอาการที่พบบ่อยเป็นอันดับที่ 7 ขณะที่สามอันดับแรกเป็น การไอ มีไข้ และอาการหายใจลำบาก

แล้วจำนวนรถยนต์ล่ะ

งานวิจัยฮาร์วาร์ดบอกว่ามีรถจอดนอกโรงพยาบาล 6 แห่งในเมืองอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. จนถึงเดือน ธ.ค.

อย่างไรก็ดี บีบีซีพบว่ามีจุดอ่อนหลายประการในการวิเคราะห์โดยนักวิจัย

งานวิจัยบอกว่า พวกเขาไม่รวมภาพถ่ายดาวเทียมที่มีต้นไม้หรือเงาตึกบังเพื่อป้องกันการนับจำนวนรถยนต์ที่น้อยหรือมากเกินไป

อย่างไรก็ดี เราพบว่า จากภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ พื้นที่จอดรถจำนวนมากในโรงพยาบาลถูกบังโดยตึกสูง นั่นหมายความว่าไม่สามารถคำนวณจำนวนรถอย่างแม่นยำได้

ในข้อความทวีตข้างล่างนี้ เราลากกรอบสีขาวบริเวณที่ถูกบดบังโดยตึกสูง

https://twitter.com/BenDoBrown/status/1271394721533960193


นอกจากนี้ โรงพยาบาลเทียนโย่ว ก็ยังมีที่จอดรถใต้ดินอีกด้วย ซึ่งไม่สามารถตรวจหาจำนวนรถที่จอดอยู่ใต้ดินได้

เบนจามิน เรเดอร์ หนึ่งในทีมนักวิจัยของฮาร์วาร์ด ออกมายอมรับว่าไม่สามารถนับจำนวนรถที่จอดอยู่ใต้ดินได้ และนี่เป็นข้อจำกัดหนึ่งในการวิจัยครั้งนี้

https://twitter.com/BenDoBrown/status/1271396483091378181


นอกจากนี้ การเลือกโรงพยาบาลมาอยู่ในการวิจัยครั้งนี้ยังไม่เหมาะสมอีกด้วย หนึ่งในหกโรงพยาบาลที่นำมาวิเคราะห์เป็นโรงพยาบาลเด็กและผู้หญิงหูเป่ย์ ทั้ง ๆ ที่เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แทบไม่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

ในประเด็นนี้ นักวิจัยระบุว่า หากไม่รวมโรงพยาบาลนี้ จำนวนการใช้ที่จอดรถก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ดี

อีกอย่างที่นักวิจัยอาจทำได้คือการเปรียบเทียบข้อมูลชุดนี้กับโรงพยาบาลในเมืองอื่น ๆ ของจีน เพื่อหาดูว่าจำนวนรถที่มากขึ้นเป็นเฉพาะกับเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดโรค หรือไม่

หากไม่มีการเปรียบเทียบนี้ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าคนจีนในเมืองอู่ฮั่นเริ่มเข้ารับการรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่เดือน ส.ค.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง