รีวิว JBL TUNE FLEX หูฟังปรับจุกได้ทั้ง In-Ear และ Ear-Bud เสียงกลางชัด, เบสแน่น!
สมศักด์ศรีชื่อ JBL กับแบรนด์อุปกรณ์เสียงขวัญใจวัยรุ่น ปล่อยหูฟังทั้งทีจะธรรมดาได้ยังไง กับ JBL TUNE FLEX (เจบีแอล จูน เฟล็กซ์) ซึ่งก็เฟล็กสมชื่อเพราะหูฟังรุ่นนี้เป็นได้ทั้ง In-Ear และ Ear-Bud ทั้งยังมีไมค์โครโฟนในตัวด้วย ความเจ๋งของจูนเฟล็กซ์จะมีอะไรอีกบ้างไปแบไต๋กันเลย!
หัวข้อการรีวิว
แกะกล่อง
ของที่ให้มาในกล่องก็จะมี
- เคสใส่หูฟัง
- หูฟัง
- เคสใส่จุกหูฟัง
- สายชาร์จ USB-C
- คู่มือ
ดีไซน์
เคสใส่หูฟัง
ขึ้นชื่อว่าแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่นทั้งที เรื่องดีไซน์ต้องไม่ธรรมดา ตัวเคสมาในลักษณะกระดองเต่าทรงสี่เหลี่ยมที่มุมจะโค้งมน วัสดุทำมาจากพลาสติก ด้านหน้าสลักเป็นโลโก้ JBL ด้านล่างมีพอร์ต USB-C ส่วนด้านหลัง สกรีนชื่อรุ่นไว้นะครับ JBL TUNE แต่ที่ส่วนตัวผมชอบมาก ๆ คือการเลือกจุดสลักชื่อโรงงาน บริเวณเกือบกึ่งกลางด้านหลัง มันดูอาร์ตมาก ๆ ฟีลเหมือนเป็นรหัสลับที่ดีไซน์เก๋ ๆ เลย
จุดเปิดกล่องมีจะแถบเฉียง 3 ขีดสำหรับแสดงแบตเทอรี่ของหูฟังนะครับ พอเปิดขึ้นมาก็จะเจอหูฟังเสียบอยู่ในส่วนบอดี้ของเคส ส่วนหลังฝาปิดก็จะมีการสกรีนมาตรฐานต่าง ๆ ที่ JBL TUNE FLEX รองรับเอาไว้
ตัวหูฟัง
ดีไซน์ได้เท่มาก! ก้านเป็นแท่งตรงยาวปลายโค้งมน ด้านในมีการสลักบอกไว้ว่า R หรือ L ส่วนด้านนอกมีการสกรีนโลโก้แบรนด์ไว้เช่นเดิม เพิ่มเติมมี จุดเล็ก ๆ ไว้แสดงไฟสถานะด้วยครับ เติมความเก๋ได้ดีเลยทีเดียว
กล่องใส่จุกหูฟัง
สิ่งที่ชอบมาก ๆ ของ JBL TUNE FLEX คือมีกล่องใส่จุกหูฟังมาให้ด้วยครับ ด้วยสไตล์หูฟังที่เป็นได้ทั้ง In-Ear และ Ear-Bud ในตัว ทางแบรนด์คงกลัวว่าเราจะทำจุกหูฟังหาย เลยดีไซน์กล่องสำหรับใส่จุกมาให้เราโดยเฉพาะ โดยข้างในก็จะใส่ได้ทั้งหมด 3 คู่ ก็ให้มาพอดีกับจำนวนจุกที่เหลือเมื่อไม่ได้ใช้ครับ
การใช้งาน
การสวมใส่
ด้วยตัวหูฟังที่มีน้ำหนักเบา ทำให้การสวมใส่เลยสบายหูครับ ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรมาถ่วงหูไว้ การสวมใส่ในแบบ In-Ear ตอนแรกอาจจะไม่ชินเพราะแม้จะเป็นจุกแบบใส่ลงไปในหู แต่ด้วยดีไซน์ที่ต้องสามารถเป็นในหูแบบ Ear-Bud ได้ด้วย เลยทำให้ตัวก้านจุกไม่ลึกเท่ากับหูฟัง In-Ear ทั่วไป สวมใส่ลงไปอาจจะรู้สึกว่าจุกไม่ได้เข้าไปในหู แต่พอใช้ไปเรื่อย ๆ ก็จะชินครับ
ส่วนจุก Ear-Bud ก็คือเอียร์บัดดี ๆ นี่แหละ (หัวเราะ) มองด้วยตารู้สึกว่าพอใส่จุกแบบเอียร์บัดแล้วดูเข้ากับตัวหูฟัง JBL TUNE FLEX มากกว่า ความเห็นส่วนตัวอาจจะพูดได้ว่า “โดยธรรมชาติ JBL TUNE FLEX คือหูฟังเอียร์บัดที่สามารถเปลี่ยนจุกได้ มากกว่าที่จะเป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ได้ทั้ง 2 ฟังก์ชัน”
การควบคุม
- แตะหูฟังซ้าย 1 ครั้ง สลับระหว่าง Active Noise Cancelling กับ Ambient Aware
- แตะหูฟังซ้าย 2 ครั้ง เปิดโหมด TalkThru (ถ้าจะออกจาก TalkThru แตะ 1 ครั้งเพื่อเลือกเลยว่าจะไปโหมดไหนต่อ)
- แตะหูฟังขวา 1 ครั้ง เปิด-ปิด เพลง
- แตะหูฟังขวา 2 ครั้ง เปลี่ยนเป็นเพลงถัดไป
- แตะหูฟังขวา 3 ครั้ง เริ่มเล่นเพลงเดิมใหม่ / ระหว่างที่เพลงกำลังจะเริ่ม ( 1 – 2 วินาทีแรก ) หากแตะหูฟังขวา 3 ทีอีกครั้งจะเป็นการเปลี่ยนเป็นเพลงก่อนหน้า
- แตะหูฟังขวา 3 ครั้ง ต่อด้วยแตะค้างอีก 1 ครั้ง เป็นการสลับโหมดเสียงระหว่าง In-Ear กับ Ear-Bud
สเปก
- Driver: 12mm/ 0.472” Dynamic Driver
- Sensitivity: 110 dB SPL@
- Impedance: 32 ohm
- Frequency Response: 20 Hz – 20,000 Hz
- Bluetooth: 5.2
- Support: iOS, Android, Window, Mac
- Weight: 9.6 g
- Resistance: IPX4
- Battery: 8 Hours / 32 Hours With Case
เสียง
การใช้ในโหมด In-Ear
ในการฟังแบบอินเอียร์ แน่นอนว่าย่านเบสก็จะโดดเด่นตามสไตล์ JBL ที่จะออกหนา ๆ มวลใหญ่ ๆ เสียงกลาง – สูง ไม่ได้สว่างไสว แต่ฟังชัด ไม่ได้ถูกบดบดบังด้วยเบส ซาวด์สเตจแม้ไม่ได้กว้างมาก แต่หากตั้งใจฟังก็จะแยกได้ว่าชิ้นใดอยู่ตรงไหน เสียงคอรัส หรือไลน์ประสานต่าง ๆ ก็ไม่ได้ถูกกลบจนฟังไม่ออก และเหมือน JBL จะรู้ดีว่า TUNE FLEX สเตจไม่ได้กว้าง เลยฉลาดสร้างสรรค์ด้วยการทำให้ทุกชิ้นอยู่ในระยะซัปพอร์ตกันไปเลย ผลคือเสียงของ JBL TUNE FLEX เลยออกมาแน่นเป็นหมู่มวลเดียวกัน และยิ่งผนวกเข้ากับเบสหนา ๆ ของ JBL แล้ว ใครที่ชอบฟังเพลงย่าน ‘เบสไปจนถึงกลางแหลม’ น่าจะชอบตัวนี้แน่ ๆ ครับ
การใช้ในโหมด Ear-Bud
สำหรับเอียร์บัดแม้เบสจะไม่หนาเท่า เพราะเราไม่ได้เอาจุกยัดลงไปในหู แต่ก็แทนที่ด้วยความ ‘ฟังสนุก’ การปล่อยเสียงดูรอบทิศทางมากกว่าอินเอียร์ ซาวด์สเตจแน่นอนไม่ต่างกัน แต่เสียงย่านกลางแหลม – สูง ดูจะร่าเริงกว่า ในเพลงเดียวกันอย่าง ‘LEFT RIGHT ของศิลปิน XG’ เสียงซินธ์ หรือซาวด์ดีไซน์ต่าง ๆ นี่ระยิบระยับร่าเริงรอบหูเลย ต่างจากของอินเอียร์ที่เสียงอาจจะไม่วิ่งไปมา แต่แทนที่ด้วยความชัด – เคลียร์ – แน่นครับ
การตัดเสียงรบกวน
Active Noise Cancelling: การตัดเสียงรบกวนของหูฟังรุ่นนี้ จากการลองใช้งานก็ต้องบอกว่าไม่ได้เงียบสนิทขนาดดับวูบตัดทุกเสียงที่จะเข้ามา แต่เหมือนเป็นการคลีนเสียงให้ Noise ลดลงมากกว่า ยังพอได้ยินเสียงรอบตัวอยู่เนือง ๆ แต่ก็ไม่ได้ดังขนาดที่จะบดบังสิ่งที่อยู่ในหูเราครับ สรุปก็คืออยู่ในระดับที่ใช้งานได้ไม่มีปัญหาครับ
Ambient Aware: โหมดนี้จะเป็นการเปิดรับเสียงรอบข้าง พร้อม ๆ กับเปิดเสียงในหูเรา ใครที่ไม่ชอบฟีลลิงเวลาเปิด Noise Cancellation เพราะมันเหมือนหูเอื้อ เปิดโหมดนี้ก็จะได้ฟีลเสียบฟังเพลงผ่านหูฟังแบบธรรมชาติครับ
TalkThru: โหมดนี้ใช้สำหรับการพูดคุยกับคนรอบข้างขณะใช้หูฟัง โดย JBL TUNE FLEX จะเพิ่มเสียงภายนอกให้ดังขึ้น แล้วเบาเสียงในหูฟังลง ซึ่งจากการทดสอบบอกได้เลยว่าได้ยินเสียงข้างนอกชัดเจน พูดคุยรู้เรื่อง พอลองกดเร่งเสียงเพลงในหู มันดังขึ้นก็จริงแต่ไม่สุด เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการสนทนาของเราครับ
การสนทนา
JBL TUNE FLEX นอกจากฟังได้ทั้งแบบ In-Ear และ Ear-Bud ยังมีไมค์โครโฟนในตัวด้วย! โดยไมค์ของรุ่นนี้จะอยู่ที่หูฟังด้านขวานะครับ ถ้าใครที่ชอบใส่หูฟังข้างเดียวเวลาคุยโทรศัพท์จะใส่แค่ข้างขวาก็ได้ครับ
และนี่คือเสียงจากไมค์โครโฟนของ JBL TUNE FLEX
เสียงในห้องเงียบ
เสียงในห้องที่มีเสียงรบกวน
แอปพลิเคชัน
JBL TUNE FLEX สามารถเชื่อมต่อและสั่งการผ่านแอปพลิเคชันได้นะครับ ด้วยแอปที่ชื่อว่า JBL Headphone ซึ่งรองรับทั้ง iOS และ Android เลย ตัวแอปก็จะบอกสถานะว่าตัวกล่อง และหูฟังแต่ละข้างมีแบตเทอรี่เท่าไหร่ รวมถึงอัปเดตเวอร์ชันซอฟต์แวร์ได้ด้วย
ที่สำคัญการเปลี่ยนโหมดจาก In-Ear เป็น Ear-Bud การปรับ Equalizer รวมถึงการปรับระดับ ANC, Ambient Aware รวมถึง TalkThru สามารถทำได้ในแอปนี้เลยครับ
การดีเลย์
จากการทดสอบด้วยการดูภาพยนตร์, และมิวสิกวิดีโอ หากวัดจากความรู้สึกไม่ได้รู้สึกว่าภาพช้ากว่าเสียงจนรำคาญใจ เลยคิดว่าคงไม่ได้ดีเลย์มากเท่าไหร่ และจากการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน Earbuds Delay Test พบว่าค่าการดีเลย์อยู่ที่ราว ๆ 170 Ms ครับ
ราคา
JBL TUNE FLEX ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3,990 บาท ในความเห็นของกองบรรณาธิการแบไต๋ต้องบอกว่าความสามารถคุ้มค่ากับราคา ถ้าใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่ลิงก์นี้เลย คลิก