สามพรรคใหญ่ดวลร่างรัฐธรรมนูญ แนวทางต่างกัน เป้าหมายเดียวกัน

ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาภายใต้การนำของนายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้เปิดเวทีพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากสามพรรคการเมืองหลักในรัฐบาลปัจจุบัน ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของการปฏิรูปการเมืองไทย ท่ามกลางความท้าทายของกรอบเวลาที่จำกัดและข้อจำกัดทางกฎหมายตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แม้ทั้งสามพรรคจะมีเป้าหมายเดียวกันในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำกติกาใหม่ พร้อมยืนยันว่าจะไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการปกครองและสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รายละเอียดของแต่ละร่างกลับแสดงให้เห็นถึงปรัชญาและแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ความแตกต่างเหล่านี้อาจเป็นตัวกำหนดว่าการปฏิรูปครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
ภูมิใจไทยเดินสายเรียบง่าย ถอดแบบยุค 40 เน้นทำได้จริง
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทองจากพรรคภูมิใจไทย ได้นำเสนอร่างแก้ไขที่พรรคมุ่งเน้นความเรียบง่ายและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยอ้างอิงถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นรูปธรรม การปรับมาตรา 256 ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดทางไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชน
หัวใจสำคัญของร่างภูมิใจไทยอยู่ที่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 99 คน แบ่งเป็นผู้แทนจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ และการเมืองรวม 22 คน เพื่อให้ครอบคลุมเสียงของประชาชนจากทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังเสนอให้มีคณะกรรมการยกร่าง 45 คน ประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 30 คน และบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญ 15 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนนำเสนอให้สภาผ่านความเห็นชอบและจัดทำประชามติในลำดับถัดไป กระบวนการทั้งหมดได้รับการออกแบบให้โปร่งใสและอยู่ในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
นายกรวีร์ได้แสดงความเคารพต่อหลักการของร่างที่พรรคอื่นเสนอ แต่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในวิธีการดำเนินงาน โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตว่าร่างของพรรคเพื่อไทยอาจมีความซับซ้อนเกินไปและมีความเสี่ยงที่จะถูกตีความว่าขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของกระบวนการทั้งหมดและเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนร่างของพรรคประชาชนแม้จะมีเจตนาที่ดี แต่ขาดความชัดเจนเนื่องจากไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีเพียงคณะกรรมการยกร่าง 35 คน และสภาที่ปรึกษา 100 คน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดนายกรวีร์ได้เน้นย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ และต้องดำเนินการภายในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด พร้อมเตือนให้หลีกเลี่ยงการมองโลกในแง่ดีเกินไปด้วยคำพูดที่ว่า "อย่าเพ้อฝันมากนัก" และควรมองความเป็นจริงเพื่อเดินหน้าในแนวทางที่เป็นไปได้จริง
เพื่อไทยยืนหยัดอำนาจสูงสุดที่รัฐสภา ท่ามกลางแรงกดดันเรื่องเวลา
นายชูศักดิ์ ศิรินิล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ชี้แจงถึงบริบทที่นำมาสู่การเสนอร่างของพรรค โดยระบุว่าการผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่เกิดจากบันทึกข้อตกลงระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลให้ต้องลดอายุของสภาผู้แทนราษฎรลงและผูกมัดกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังไม่มีรูปธรรม หากกระบวนการจัดทำไม่แล้วเสร็จภายในสี่เดือน ร่างรัฐธรรมนูญก็จะสูญหายไปพร้อมกับการยุบสภา
ความกังวลเรื่องกรอบเวลาที่จำกัดเป็นประเด็นที่นายชูศักดิ์เน้นย้ำอย่างหนัก โดยมองว่าเป็นการลงทุนที่สูงและมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ภายใต้ข้อจำกัดเพียงสี่เดือนก่อนที่สภาจะต้องยุบตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้กลับเป็นแรงผลักดันให้พรรคออกแบบกลไกที่มีประสิทธิภาพและรัดกุมที่สุด
จุดเด่นสำคัญของร่างพรรคเพื่อไทยอยู่ที่การให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา โดยภายหลังจากที่สภาร่างรัฐธรรมนูญยกร่างเสร็จสิ้นแล้ว ร่างดังกล่าวจะต้องถูกส่งกลับมาให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้อีกครั้ง หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ร่างนั้นก็จะตกไป ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการอำนาจของรัฐสภาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน กลไกนี้ทำให้รัฐสภามีบทบาทเป็นทั้งผู้ริเริ่มและผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย ไม่ใช่แค่ส่งมอบอำนาจให้กับสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้วรอรับผลลัพธ์เท่านั้น
ในประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดเกี่ยวกับการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 นายชูศักดิ์ได้ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาแก้ไขสองหมวดนี้แต่อย่างใด แต่เหตุผลที่ไม่ได้เขียนห้ามไว้อย่างชัดเจนในร่างแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ เนื่องจากมาตรา 256 เดิมมีบทบัญญัติคุ้มครองรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว และการเขียนห้ามเพิ่มเติมอาจสร้างความขัดแย้งกับมาตรา 256 ที่เปิดช่องให้แก้ไขได้หากมีการทำประชามติ นอกจากนี้ในอดีตหมวด 1 ก็เคยมีการแก้ไขมาแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งแสดงว่าไม่ได้เป็นพื้นที่ต้องห้ามโดยสมบูรณ์
ประชาชนตั้งคำถามความชอบธรรม ผลักดันกติกาใหม่บนรากฐานประชาธิปไตย
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาชน ได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปด้วยการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตั้งแต่ต้น โดยระบุว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย มีที่มาจากคณะรัฐประหารและผ่านการทำประชามติที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมีบทบัญญัติหลายมาตราที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรได้รับการแก้ไข
ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อให้รัฐสภาสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างมีส่วนร่วมตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายให้รัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง พรรคประชาชนได้เน้นสามจุดแข็งหลักของร่างที่เสนอ ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยออกแบบให้ประชาชนมีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญทางอ้อม การป้องกันการผูกขาดทางการเมือง โดยให้การคัดเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างใช้ระบบสัดส่วนแทนเสียงข้างมาก และการกำหนดกรอบเนื้อหาชัดเจนเก้าข้อ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงยึดหลักสิทธิเสรีภาพและกลไกป้องกันคอร์รัปชัน
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่พรรคภูมิใจไทยชี้ให้เห็นคือร่างของพรรคประชาชนขาดความชัดเจนเนื่องจากไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่มีเพียงคณะกรรมการยกร่าง 35 คน และสภาที่ปรึกษา 100 คน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในกระบวนการ
นายพริษฐ์ได้ชี้ให้เห็นถึงบริบทปัจจุบันที่เอื้อต่อการปฏิรูปรัฐธรรมนูญมากกว่าที่เคย โดยระบุว่ารัฐสภามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านที่พร้อมผลักดันวาระรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนในอดีต มีรัฐบาลที่ตระหนักว่าความอยู่รอดของตนเองขึ้นอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ และมีวุฒิสภาที่ได้รับคำวินิจฉัยชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าสามารถร่วมแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติล่วงหน้า
นายพริษฐ์ย้ำว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รัฐบาลละเลยปัญหาปากท้อง เพราะรัฐบาลที่ดีต้องสามารถทำทั้งสองเรื่องไปพร้อมกัน อีกทั้งการมีรัฐธรรมนูญที่มั่นคงโปร่งใส ยังช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในระยะยาว
แม้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่มีหลักการเดียวกันคือรัฐสภาเห็นด้วยหรือไม่กับการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นคำถามสำคัญที่รัฐสภาต้องร่วมกันตอบผ่านการลงมติในวันนี้ การประชุมครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่การปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงหรือไม่ ท่ามกลางความท้าทายของเวลาที่จำกัด ข้อจำกัดทางกฎหมาย และความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรมและยึดโยงกับหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
