"3 ต้นเหตุ ฝุ่น PM2.5 ฟุ้งกรุง” ติดอันดับ 9 โลก “เมืองมลพิษสูง”
จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมากรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ติดอันดับ 9 ของเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากสุดของโลก โดยค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) วัดได้ 163 (สีแดง) ซึ่งเป็นระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ระบุว่าในวันที่ 10 มกราคมนี้ สถานการณ์ฝุ่นอาจดีขึ้นเล็กน้อย และคาดว่าวันที่ 11 มกราคม หรือวันเด็ก สถานการณ์ฝุ่นจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ในสัปดาห์ถัดไปค่าฝุ่นจะกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้ง
3 ต้นเหตุหลักของฝุ่น PM2.5 ปกคลุมทั่วกทม.
นายชัชชาติ ระบุถึงสาเหตุที่ฝุ่นในกรุงเทพมหานคร เพิ่มสูงนั้นเกิดจาก 3 สาเหตุหลักด้วยกัน โดยเริ่มจาก “ฝุ่นฐานเมือง” ที่มาจาก การขนส่งและอุตสาหกรรมโดยเฉพาะจากการจราจร รถยนต์ที่ปล่อยควันดำ ต่อมาคือสภาพอากาศที่ปิด อัตราการระบายอากาศไม่ดี ซึ่งในช่วงวันที่ 6-9 มกราคมที่ผ่านมา อัตราการระบายอากาศ (VR) อยู่ที่เพียง 500 ตารางเมตรต่อวินาที ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น 4,000 ตารางเมตรต่อวินาที
สุดท้ายนั้นเกิดจากการเผา โดยลมตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือพัดพาฝุ่นจากการเผาชีวมวลจากภาคกลาง ภาคตะวันออก และประเทศกัมพูชาเข้ามากรุงเทพฯ โดยพบว่าในช่วงวันที่ 4-8 มกราคมมีจุด Hotspot เพิ่มขึ้น 42%
มาตรการรับมือฝุ่นในกทม.
เพื่อรับมือกับปัญหาฝุ่น นายชัชชาติ ระบุว่า กทม. ได้นำมาตรการต่าง ๆ มาใช้ เช่น การแจกหน้ากากอนามัย, การเปิดห้องเรียนปลอดฝุ่น, การจัดคลินิกมลพิษทางอากาศ, และโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง "เขตมลพิษต่ำ" โดยห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก และส่งเสริมโครงการ Work From Home (WFH) หากฝุ่นเกิน 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ใน 5 เขตติดต่อกัน 3 วัน
นายชัชชาติยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังไม่มีการสั่งปิดโรงเรียนหรือให้ WFH เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ถึงระดับที่รุนแรง แต่ประชาชนในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและเด็ก ควรระมัดระวังการออกไปในพื้นที่โล่งแจ้ง
กรุงเทพฯ ติดอันดับโลก “เมืองมลพิษสูง” - ต่างจังหวัดวิกฤตหนักกว่า
เว็บไซต์ IQAir รายงานว่า กรุงเทพมหานครติดอันดับ 9 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) วัดได้ 163 ซึ่งอยู่ในระดับสีแดง ซึ่งหมายความว่าผลกระทบต่อสุขภาพจะส่งผลต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว
นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีอีก 3 จังหวัดที่ค่ามลพิษอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพ ที่หนักสุดนั้นคือ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ค่า AQI วัดได้ 203 อยู่ในระดับสีม่วง ค่ามลพิษมีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง และ อ.เมือง จ.ระยอง ค่า AQI วัดได้ 186 อยู่ในระดับสีแดง
"ทำความรู้จักกับค่า AQI ดัชนีคุณภาพอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ"
ค่า AQI (Air Quality Index) หรือดัชนีคุณภาพอากาศ เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดค่าความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศ 6 ชนิดหลัก ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยสารมลพิษที่ถูกวัดได้แก่:
- ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)
- ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM 10)
- ก๊าซโอโซน (O3)
- ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
- ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)
หากค่า AQI เกิน 100 จะหมายความว่า ความเข้มข้นของมลพิษในอากาศนั้นเกินมาตรฐานและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
ระดับของค่า AQI และผลกระทบต่อสุขภาพ
ค่า AQI ถูกแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตามสีต่าง ๆ ซึ่งแต่ละระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพดังนี้
สีเขียว (0-50): คุณภาพอากาศดี ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
สีเหลือง (51-100): คุณภาพอากาศปานกลาง ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั่วไป แต่ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแออาจเริ่มรู้สึกได้
สีส้ม (101-150): มีผลกระทบต่อผู้ป่วย หรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง
สีแดง (151-200): มีผลกระทบต่อทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ควรลดกิจกรรมกลางแจ้ง
สีม่วง (201-300): คุณภาพอากาศแย่มาก มีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้ง
สีน้ำตาล (301 ขึ้นไป): อากาศอันตรายต่อสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านและใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด
ผลกระทบต่อสุขภาพ
เมื่อค่า AQI สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ หรือปัญหาหลอดเลือด สมรรถภาพการหายใจของบุคคลทั่วไปอาจลดลง และสามารถเกิดอาการระคายเคืองทางตา จมูก และคอได้
การตรวจสอบค่า AQI เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพ และช่วยให้ผู้คนสามารถตัดสินใจได้ว่าจะออกจากบ้านหรือไม่ในวันที่มลพิษทางอากาศมีระดับสูง
ภาพจาก: AFP