ฝุ่น PM2.5 เริ่มมาแล้ว พรบ.อากาศสะอาดอยู่ขั้นไหน ทำไมถึงยังไม่ประกาศใช้ ?

เช้านี้ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 กรุงเทพมหานครรายงานสภาพอากาศในกรุงเทพฯ ว่าโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถึงอย่างนั้น ก็มี 3 เขตอยู่ในเกณฑ์สีส้ม หรือค่าฝุ่น เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพมา 3 เขต PM2.5 ค่าเฉลี่ย 24.1 มคก./ลบ.ม.
โดย 3 เขตที่ค่าฝุ่นทะลุมานั้นได้แก่
1. เขตลาดกระบัง 39.8 มคก./ลบ.ม.
2. เขตบึงกุ่ม 39.6 มคก./ลบ.ม.
3. เขตประเวศ 39.2 มคก./ลบ.ม.
ซึ่งระดับนี้ ประชาชนทั่วไป ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา
ในขณะที่อีก 22 เขตอยู่ในระดับสีเหลือง ที่คุณภาพอากาศปานกลาง และที่เหลืออยู่ระดับสีเขียว
การที่ค่าฝุ่นเริ่มกลับมาอยู่ในระดับสีส้มนั้น แสดงให้เห็นถึงการเริ่มเข้าสู่วิกฤตการณ์ประจำปีของ PM2.5 หมายถึงการที่มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 มีระดับความเข้มข้นสูงเกินค่ามาตรฐานจนถึงขั้นอันตรายต่อสุขภาพ และเกิดขึ้นซ้ำๆ ในช่วงเวลาเดิมของทุกปีอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นวัฏจักร
ซึ่งของไทยนั้น พบในฤดูแล้ง/ฤดูหนาว ในช่วงปลายปีถึงต้นปี พื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะเข้าสู่ฤดูแล้งหรือฤดูหนาว ซึ่งมักมีสภาพอากาศที่นิ่ง (stagnant air) ลมสงบ และเกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน (temperature inversion) คืออากาศเย็นที่พื้นดินถูกอากาศอุ่นกว่ากดทับไว้ ทำให้ฝุ่นและมลพิษไม่สามารถลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้นได้ จึงสะสมตัวอยู่ใกล้ระดับพื้นดิน
ความปกติที่ผิดปกติเช่นนี้ทำให้ประชาชนต้องปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อสุขภาพเป็นระยะเวลานานหลายเดือนในแต่ละปี ซึ่งแตกต่างจากการเกิดมลพิษที่มาจากภัยพิบัติฉับพลัน
ฝุ่นมาแล้ว พ.ร.บ.อากาศสะอาดประกาศใช้ตอนไหน เสียงค้านจากเอกชนคืออะไร ?
แต่ปีนี้ การเข้าสู่วัฎจักรฝุ่น ก็มาพร้อมๆ คำถามว่า ฝุ่นมาแล้ว พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่ ส.ส.โหวดผ่านในสภาไปนั้น จะมีบังคับใช้เมื่อไหร่ ตอนนี้อยู่ขั้นตอนไหนแล้ว ติดขัดอะไรถึงยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
โดยตอนนี้ ร่าง พ.ร.บ.นี้ อยู่ในขั้นให้ สว.พิจารณาอีก 3 วาระ ภายใน 30 วัน แต่ขยายได้ไม่เกิน 30 วัน เท่ากับว่ามีเวลา 30-60 วัน แต่การประชุมสมัยนี้จะปิดในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ร่างกฎหมายจึงต้องนำไปพิจารณาในสมัยประชุมหน้า ที่จะเปิดในวันที่ 12 ธันวาคม 2568
แต่ถึงอย่างนั้น ในการพิจารณาของส่วน สว.นั้น ยังต้องจับตาว่า สว. และกรรมาธิการ จะมีการแก้ไขเนื้อหาในกฎหมายอีกหรือไม่ เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ มีจำนวนเกือบ 300 มาตรา และมีส่วนเข้าข่าย พรบ.ที่เกี่ยวกับการเงิน เพราะมีการจัดต้องกองทุนอากาศสะอาดด้วย
ล่าสุด จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญั ติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด อดีต สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ สว.เร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้
“พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่กำลังอยู่ในชั้น สว. แต่ก็เห็นแววว่าจะโดนกลุ่มทุนสกัด อ้างเรื่องเป็นภาระภาคเอกชน ต่างชาติไม่มาลงทุน แต่เห็นหรือไม่ครับว่า ต้นทุนสุขภาพ ต้นทุนชีวิตของคนไทยมากกว่าเท่าไร เราคงไม่มีใครอยากต้องมาใส่ mask กันตลอด หรือต้องเจอมะเร็งปอดในอนาคต
ตอนนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่ท่านวุฒิสภาที่จะเร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ให้บังคับใช้ได้เร็วที่สุด อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ปลายปีหน้าเราต้องเจอภาพอย่างนี้อีก และที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพพี่น้องคนไทยครับ”
ขณะที่ในวันนี้เอง (12 พ.ย.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พ.ร.บ.อากาศสะอาด
โดยเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวถึงจุดยืนว่า เห็นด้วยในหลักการและบางมาตรการ แต่ควรปรับให้ชัดเจน และไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมถึงกฎหมายเฉพาะของหน่วยงาน ที่มีอำนาจกำกับดูแลมลพิษทางอากาศอยู่แล้ว
ด้าน กกร.ได้เสนอให้ทบทวนใน 4 ประเด็นคือ
1. โครงสร้างคณะกรรมการและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กกร. เสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชน
2. กกร. เห็นว่า “เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์” ในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด อาจซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม ควรเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษี–การเงินแทน
3. การตั้งกองทุนอากาศสะอาดยังไม่ชัดเจนเรื่องลำดับความสำคัญและสัดส่วนใช้เงิน อาจจัดตั้งไม่ได้จริง
4. ร่างกฎหมายกำหนดโทษสูงเกินไป กกร. เสนอให้ทบทวนให้เหมาะสมตามหลักรัฐธรรมนูญ และให้เวลาภาคธุรกิจปรับตัว
สุดท้ายแล้ว เมื่อมีความเห็นจากฝั่งภาคเอกชน ก็ต้องรอดูว่า ส.ว.จะมีการปรับแก้ไขกฎหมายในรายมาตราหรือไม่ ซึ่งหากมีการแก้ไข ก็ต้องส่งกลับไปให้ สส.พิจารณาว่าเห็นชอบกับการแก้ไขหรือไม่ และเมื่อเห็นชอบ นายกฯ จึงจะสามารถทูลเกล้าฯ และประกาศเป็นกฎหมายได้
แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจับตา และลุ้นกันนั้น คือ สัญญาณของการยุบสภา ซึ่งหากเกิดการยุบสภาในระหว่างกระบวนการพิจารณายังไม่เสร็จ ร่างกฎหมายจะตกไป แต่ก็อาจกลับมาได้หาก นายกฯ ชุดใหม่ นำมาพิจารณาต่อ แต่ในสมัยรัฐบาลของอดีต นายกฯ เศรษฐา ที่มีการยืดเยื้อของการเลือกแคนดิเดตนายกฯ ก็ไม่ได้นำร่าง พรบ.นี้ มาพิจารณาต่อในสมัยรัฐบาลใหม่ จึงต้องลุ้นกันว่า ร่างกฎหมายนี้ จะผ่านอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ในขณะที่ฤดูของฝุ่นได้กลับมาแล้ว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
