โลกเดือดเร็วเกินคาด ทำ “แนวปะการัง” กำลังตาย แบบไม่อาจฟื้นคืนได้อีก!

โลกกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ และขณะนี้ “แนวปะการังน้ำอุ่น” ทั่วโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดบนโลก กำลังประสบภาวะฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญสลายแบบไม่อาจย้อนคืน
รายงานล่าสุดจาก มหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ (University of Exeter) เปิดเผยว่า แนวปะการังทั่วโลกได้เผชิญ “เหตุการณ์ฟอกขาวรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกไว้” ในช่วงปี พ.ศ. 2567–2568 และ “จุดพลิกผันทางอุณหภูมิ” (thermal tipping point) ของปะการังน้ำอุ่นที่ระดับ 1.2 องศาเซลเซียสของภาวะโลกร้อนเฉลี่ยทั่วโลก ได้ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งหมายความว่า “กระบวนการล่มสลายของแนวปะการังในหลายภูมิภาคของโลกได้เริ่มต้นขึ้น”
นักวิทยาศาสตร์เตือนในเวทีเตรียมการประชุม COP30 ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็น “สัญญาณเตือนชัดเจน” ว่าภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหลักของโลกเร็วกว่าที่เคยคาดไว้
แนวปะการังไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสวยงามใต้ท้องทะเล แต่ยังเป็น “กำแพงธรรมชาติ” ที่ช่วยปกป้องชายฝั่งจากคลื่นลมและพายุ ช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่ง และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลมากกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลทั้งหมด
นอกจากนี้ แนวปะการังยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศชายฝั่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ซึ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวและการประมงเป็นหลัก องค์การสหประชาชาติประเมินว่า แนวปะการังทั่วโลกสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง หลายล้านล้านบาทต่อปี ทั้งจากการท่องเที่ยว การประมง และบริการทางระบบนิเวศอื่น ๆ แต่วันนี้ ป้อมปราการธรรมชาติเหล่านี้กำลัง “พังทลาย” อย่างเงียบ ๆ ทั่วทุกมุมโลก
“ภาวะปะการังฟอกขาว” (Coral Bleaching) เกิดขึ้นเมื่อปะการังเกิดความเครียดจากความร้อนในน้ำทะเลจนขับสาหร่ายสีสวยที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกไป สาหร่ายเหล่านี้คือแหล่งพลังงานหลักของปะการัง เมื่อมันหายไป ปะการังก็จะสูญเสียสีสัน กลายเป็นสีซีดขาว และอ่อนแอต่อโรคหรือการตาย
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อุณหภูมิน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากภาวะโลกร้อนที่แตะระดับ 1.45°C ในปี 2566 และ 1.55°C ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่นักวิทยาศาสตร์เคยเตือนว่าจะเป็น “ขีดอันตราย” สำหรับแนวปะการัง
คลื่นความร้อนทางทะเล (marine heatwaves) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้แนวปะการังกว่า 84% ของโลก เผชิญกับความร้อนระดับที่ทำให้เกิดการฟอกขาว และในหลายพื้นที่ เช่น มหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง ทะเลแคริบเบียน และอ่าวไทยตอนบน แนวปะการังได้ตายเป็นบริเวณกว้าง
แม้สถานการณ์จะเลวร้าย แต่ยังมีความหวังบางส่วนจากงานวิจัยของ องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) ที่ชี้ว่า แนวปะการังสามารถ “ฟื้นฟูได้” หากมีการดูแลและจัดการอย่างเหมาะสม
นักวิทยาศาสตร์ใช้วิธีนำปะการังอ่อนจากธรรมชาติมาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ แล้วนำกลับไปปลูกเมื่อแข็งแรงดี หรือใช้เทคนิคเก็บไข่และสเปิร์มของปะการังเพื่อสร้างปะการังรุ่นใหม่ รวมทั้งการยึดติดปะการังที่หลุดออกจากแนวกลับเข้าที่ด้วยวัสดุอย่างเคเบิลไทหรือปูนซีเมนต์
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง อีกทั้งไม่สามารถทดแทนแนวปะการังธรรมชาติขนาดใหญ่ได้ในระยะเวลาอันสั้น หากอุณหภูมิโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานจากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ใช้คำว่า “จุดพลิกผัน” (tipping point) เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่ระบบนิเวศไม่สามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ แม้สภาพแวดล้อมจะกลับมาปกติแล้วก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ปะการังน้ำอุ่นได้ข้ามเส้นนี้ไปแล้ว ซึ่งหมายความว่า ต่อให้โลกหยุดร้อนขึ้นในทันที แนวปะการังส่วนใหญ่ก็จะไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่คือครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากยอมรับตรงกันว่า “ระบบนิเวศทั้งระบบอาจกำลังล่มสลาย” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ในวงการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และย้ำถึงความสำคัญของการรักษาเป้าหมายอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีส เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางทะเลที่เหลืออยู่
“แนวปะการังเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของมหาสมุทร หากมันตาย ระบบนิเวศทั้งหมดก็จะเสียสมดุล” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวในการประชุม COP30 “เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว จะยอมให้ทะเลกลายเป็นสุสานของปะการัง หรือจะลงมือเปลี่ยนแปลงทันที”
ดังนั้น แนวปะการังทั่วโลกกำลังบอกเราว่า ภูมิอากาศของโลกได้เปลี่ยนไปถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังได้อีกต่อไป หากมนุษย์ยังคงเพิกเฉยต่อการปล่อยคาร์บอนและการทำลายสิ่งแวดล้อม การล่มสลายของแนวปะการังในวันนี้อาจเป็นเพียง “สัญญาณเริ่มต้น” ของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของระบบนิเวศทั่วโลกในอนาคตอันใกล้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
