รีเซต

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเสี่ยงตายเพราะมลพิษสูง!

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ยังเสี่ยงตายเพราะมลพิษสูง!
TNN ช่อง16
3 พฤศจิกายน 2568 ( 12:30 )
29

แม้ทั่วโลกกำลังร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อนและพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ผลการศึกษาล่าสุดกลับชี้ให้เห็นว่า การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (NTU) และสถาบันโปลีเทคนิคมาเก๊า ระบุว่า แม้ในโลกที่มีมาตรการรับมือโลกร้อนอย่างจริงจัง จำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อาจยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าการลดโลกร้อนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถปกป้องสุขภาพของประชาชนได้หากไม่จัดการปัญหามลพิษควบคู่กันไป

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติพบว่า กว่า 90% ของประชากรในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องสูดอากาศที่ไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ในปี 2019 มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรในภูมิภาคนี้มากกว่า 1.1 ล้านคน โดยแหล่งกำเนิดฝุ่นพิษขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตรส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การปล่อยควันจากรถยนต์ การเผาไม้หรือชีวมวล รวมถึงกิจกรรมในครัวเรือน ฝุ่นเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและระบบเลือดของมนุษย์ ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจในระยะยาว ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อรวมกับปัจจัยด้านภูมิอากาศ เช่น ลม อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณฝน ซึ่งล้วนส่งผลต่อการสะสมและการกระจายตัวของมลพิษในอากาศ

ทีมวิจัยได้จำลองแบบจำลองภูมิอากาศและคุณภาพอากาศในระดับภูมิภาค เพื่อประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อปริมาณ PM2.5 ในปี 2050 โดยตั้งสมมติฐานว่าอัตราการปล่อยมลพิษจะคงที่ เพื่อให้เห็นผลกระทบจากสภาพอากาศเพียงอย่างเดียว ผลการศึกษาครอบคลุมสามสถานการณ์ คือ สถานการณ์ที่ดีที่สุดซึ่งประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง สถานการณ์ที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลมากขึ้น และสถานการณ์ปานกลางที่ประเทศยังคงพัฒนาไปในทิศทางเดิม ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าปริมาณฝุ่น PM2.5 โดยรวมอาจลดลงระหว่างร้อยละ 2.2 ถึง 9.8 เนื่องจากฝนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อนสามารถช่วยชะล้างมลพิษในอากาศได้บ้าง ทว่าในทางตรงกันข้าม จำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะในเขตเมืองหนาแน่นอย่างอินโดนีเซียและประเทศไทยซึ่งอาจเผชิญกับสภาพอากาศแห้งแล้งเฉพาะพื้นที่ ทำให้ผู้คนสัมผัสกับฝุ่นพิษมากขึ้น

ภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุด การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 และความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่มจาก 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 580.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนในสถานการณ์ที่ประเทศยังคงพึ่งพาพลังงานฟอสซิลมากขึ้น การเสียชีวิตอาจเพิ่มถึงร้อยละ 9.6 และความสูญเสียทางเศรษฐกิจอาจพุ่งสูงถึง 767.5 พันล้านดอลลาร์ มีเพียงสถานการณ์ปานกลางเท่านั้นที่คาดว่าจะมีการเสียชีวิตลดลงร้อยละ 1.8 เนื่องจากสภาพอากาศที่อุ่นและชื้นช่วยกระจายฝุ่นในอากาศได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์สตีฟ ยิม หัวหน้าทีมวิจัยเตือนว่าสิงคโปร์ก็อาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของมลพิษและหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าอุณหภูมิในอินโดนีเซีย ไทย และเมียนมาอาจสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แม้แบบจำลองดังกล่าวเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วอัตราการปล่อยมลพิษย่อมไม่คงที่ในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาเสนอว่าการบริหารจัดการมลพิษควรสอดคล้องกับฤดูมรสุมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในแต่ละปี เพื่อให้การลดมลพิษเกิดผลสูงสุดและเหมาะสมกับบริบทของภูมิภาค

เมื่อพิจารณาจากผลการศึกษานี้ จะเห็นได้ว่าการลดโลกร้อนและการลดมลพิษทางอากาศเป็นสองประเด็นที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป หากมุ่งลดเพียงก๊าซเรือนกระจกแต่ละเลยการควบคุมฝุ่นพิษ สุขภาพของประชาชนอาจยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้น แม้โลกจะดูเหมือน “สะอาดขึ้น” ในภาพรวมก็ตาม การวางนโยบายที่ผสมผสานทั้งสองด้านจึงเป็นแนวทางที่จำเป็นและยั่งยืนที่สุด เพื่อให้ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หายใจอากาศที่บริสุทธิ์ และมีชีวิตที่ยืนยาวในสังคมที่พัฒนาอย่างแท้จริง


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง