รีเซต

"ภาษีทรัมป์" ผู้ค้าออนไลน์จีนระส่ำจ่อถอนตัวจากสหรัฐฯ l การตลาดเงินล้าน

"ภาษีทรัมป์" ผู้ค้าออนไลน์จีนระส่ำจ่อถอนตัวจากสหรัฐฯ l การตลาดเงินล้าน
TNN ช่อง16
15 เมษายน 2568 ( 21:30 )
7

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า การขึ้นภาษีศุลกากร ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้บริษัทจีนที่ขายสินค้าบน Amazon กำลังตัดสินใจใน 2 ทางเลือก คือการขึ้นราคาสินค้าสำหรับตลาดสหรัฐฯ หรือออกจากตลาดสหรัฐฯ ไปเลย 

ล่าสุด (ช่วงดีก 10 เม.ย. ไทย) ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 145% หลังนับรวมภาษี fentanyl อีก 20% จากเมื่อวานระดับ 125% โดยมีผลบังคับใช้แล้ว นั่นทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น 

หวัง ซิน (Wang Xin) นายกสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เซิ่นเจิ้น (Shenzhen Cross-Border E-Commerce Association) กล่าวกับ รอยเตอร์ส บอกว่า ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ปัญหาภาษีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างต้นทุนทั้งหมด จะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น จึงยากมากสำหรับทุกคนที่จะอยู่รอดในตลาดสหรัฐฯ ได้ 

ทั้งตั้งข้อสังเกตว่า กำแพงภาษีที่เกิดขึ้น อาจนำไปสู่ความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้น สำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ทุกรายแล้ว นี่จึงเป็นการโจมตีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแท้จริง

และเมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่รุนแรงต่อธุรกิจขนาดเล็กและผู้ผลิตของจีน คาดว่า นโยบายภาษีใหม่นี้ อาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้อัตราการว่างงานของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกด้วย 

รอยเตอร์ส รายงานอีกว่า จากการสอบถามผู้ขายบน แอมะซอน จำนวน 5 ราย ที่อยู่ในเมือง เซิ่นเจิ้น พบว่า 3 ใน 5 รายนั้น กำลังมองหาวิธีเพิ่มราคาสินค้าในสหรัฐฯ ส่วนอีก 2 รายบอกว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯ ไปเลย และกำลังมองหาตลาดใหม่แทน

โดยสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เซินเจิ้น นั้น ถือเป็นสมาคมอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเป็นตัวแทนของผู้ขายบน แอมะซอน มากกว่า 3,000 ราย

อย่างไรก็ดี ประเทศจีน เป็นแหล่งรวมของผู้ขายสินค้าบน แอมะซอน ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด และตามข้อมูลของ SmartScout (สมาร์ต สเก๊าต์) ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ ยังพบว่า ธุรกิจของ แอมะซอน ที่จดทะเบียนอยู่ในเมืองเซิ่นเจิ้นเพียงเมืองเดียว มีจำนวนมากกว่า 100,000 ราย และสร้างรายได้ต่อปีราว 35,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นอกจากนี้ จีน ยังเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ รายอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Shein (ชีอิน) หรือ Temu (เทมู)  และตามข้อมูลของทางการจีน การนำเข้าและส่งออกที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนนั้น มีมูลค่าสูงถึง 2 ล้าน 6 แสน 3 หมื่น ล้านหยวน (2.63 ล้านล้านหยวน) หรือราว 358,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ส่วนมุมมองของผู้ค้าชาวจีน อย่างคุณ เดฟ ฟอง(Dave Fong) ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีขายตั้งแต่กระเป๋านักเรียน ไปจนถึงลำโพงบลูทูธ บอกว่า ทางร้านได้ปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ ไปแล้ว ราวร้อยละ 30 และจากนี้ จะปล่อยให้ระดับสินค้าคงคลังลดลง รวมถึงจะลดค่าใช้จ่ายสำหรับค่าธรรมเนียมโฆษณาของ แอมะซอน ด้วย จากเดิมที่ค่าธรรมเนียมโฆษณา คิดเป็นร้อยละ 40 จากรายได้ในสหรัฐฯ

ซึ่ง ฟอง บอกด้วยว่า สำหรับตนเองและคนอื่น ๆ คงไม่สามารถพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป ดังนั้น ต้องลดการลงทุนลง และทุ่มทรัพยากรไปตลาดอื่น ๆ มากขึ้นแทน เช่น ยุโรป แคนาดา เม็กซิโก และส่วนอื่นๆ ของโลก 

ส่วน ไบรอัน มิลเลอร์ (Brian Miller) ที่ขายของอยู่กับ แอมะซอน จากเมืองเซิ่นเจิ้น มานานกว่า 7 ปี เขาบอกว่า ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน คงไม่จำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม และคาดการณ์ว่า ตนเองรวมถึงผู้ขายรายอื่น ๆ จะต้องปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างรวดเร็วเมื่อสินค้าคงคลังในปัจจุบันหมดลงไปภายใน 1 หรือ 2 เดือนนี้ 

เช่น บล็อกตัวต่อสำหรับเด็ก ที่ขายบน แอมะซอน ในราคา 20 ดอลลาร์ ทางบริษัทมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3 ดอลลาร์ แต่ตอนนี้จะมีต้นทุนเพิ่มเป็น 7 ดอลลาร์ รวมภาษี ดังนั้น การจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น ก็จะต้องขึ้นราคาอย่างน้อยอีกร้อยละ 20 ส่วนราคาของเล่นที่ต้นทุนสูงกว่านั้น ก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เป็นร้อยละ 50

ซึ่งมิลเลอร์ บอกด้วยว่า ตอนนี้เขายังไม่เห็นทางเลือกอื่น และหากสถานการณ์ไม่เปลี่ยน การขายสินค้าในสหรัฐฯ จากจีน จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป และการผลิตอาจจะต้องถูกย้ายไปประเทศอื่นแทน เช่น เวียดนาม หรือเม็กซิโก เป็นต้น 

มีรายงานข่าวว่า หลังจาก ทรัมป์ประกาศแผนจะเรียกเก็บภาษีจากหลายประเทศ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แอมะซอน ได้ยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าบางรายการ เช่น เก้าอี้ชายหาด สกู๊ตเตอร์ เครื่องปรับอากาศ และอื่นๆ จากจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย โดยเป็นการยกเลิกคำสั่งซื้อที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้ผู้ขายตั้งคำถามว่า ว่าเป็นการตอบสนองต่อนโยบายภาษีศุลกากร ด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม โฆษกของ แอมะซอน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ และจนถึงขณะนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าการยกเลิกคำสั่งซื้อดังกล่าว กระทบต่อสินค้ากี่ประเภท และกระจายไปในวงกว้างขนาดไหน 

ด้าน บลูมเบิร์ก รายงานว่า ผู้ขายเก้าอี้ชายหาดที่ผลิตในจีนให้กับ แอมะซอน มานานกว่าทศวรรษ ได้รับอีเมลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีข้อความระบุว่า ยกเลิกใบสั่งซื้อที่ส่งผิดพลาด และสั่งไม่ให้จัดส่งไป ซึ่งเนื้อหาในอีเมลดังกล่าวไม่ได้มีการระบุอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อดังกล่าวมีมูลค่า 500,000 ดอลลาร์ กับสินค้าผลิตแล้ว เมื่อถูกยกเลิก ผู้ขายจำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับโรงงานและหาผู้ซื้อรายอื่นแทน 

ผู้ขายเก้าอี้ชายหาด รายดังกล่าว ให้ข้อมูลอีกว่า แอมะซอน ได้ยกเลิก คำสั่งซื้อ ที่เป็นคำสั่งซื้อนำเข้าเองโดยตรง เป็นวิธีการที่ แอมะซอน ซื้อสินค้าคงคลังแบบขายส่งในประเทศที่ผลิตและจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปยังคลังสินค้าในสหรัฐฯ โดย แอมะซอน จะทำหน้าที่เป็นผู้นำเข้าสำหรับคำสั่งซื้อดังกล่าว นั่นหมายถึงว่าจะต้องเป็นผู้ชำระภาษีเอง เมื่อสินค้าถึงท่าเรือของสหรัฐอเมริกา 

ด้าน แพลตฟอร์มค้าปลีกยอดนิยม อย่าง ชีอิน และ เทมู ก็ต้องเผชิญกับกำแพงภาษีนี้เช่นกัน

โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร ปรับเพิ่มอัตราภาษีสินค้าพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน โดยเพิ่มเป็นร้อยละ 90 ของมูลค่า หรือคิดค่าธรรมเนียมคงที่ ในราคา 75 ดอลลาร์ และจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 150 ดอลลาร์

อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เป็นต้นไป ส่วนการเพิ่มค่าธรรมเนียมแบบคงที่ จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไป คือวันที่ 1 มิถุนายน 

จากก่อนหน้านี้ สินค้าพัสดุที่ส่งไปยังสหรัฐฯ และมีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ จะได้รับกาารยกเว้นภาษีภายใต้ข้อกำหนด de minimis (ดี มินิมิส) ซึ่งเอื้อต่อผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ทั้ง 2 รายของจีน ที่มีการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าในสหรัฐ ผ่านทางการขนส่งระหว่างประเทศ

ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทาง ไฟแนนเชียล ไทม์ ระบุว่า เป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อผู้ค้าปลีกออนไลน์ในสหรัฐฯ ทั้ง ชีอิน และ เทมู โดยตรง เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่สุดของทั้ง 2 รายที่แข่งขันกันนำเสนอสินค้าราคาถูกอย่างน่าทึ่ง และการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ คาดว่าจะนำไปสู่การพลิกโฉมของแพลตฟอร์มค้าปลีกราคาถูก รวมถึงบริษัทอีคอมเมิร์ซจีนรายอื่น ๆ ด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้การจัดส่งสินค้ามีความล่าช้าลง 

ทั้งนี้ การส่งออกพัสดุราคาถูกจากจีนไปสหรัฐฯ มีตัวเลขการเติบโตสูง ซึ่งข้อมูลจากรายงานของ Congressional Research Service (คองเกรสชันนัล รีเสริช เซอร์วิส) พบว่า มูลค่าการส่งออกพัสดุราคาถูกจากจีน มีจำนวน 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2018 ที่มีมูลค่าเพียง 5,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ของการส่งออกนี้ มุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา และในปี 2023 ที่ผ่านมา ทั้ง ชีอิน และ เทมู ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญ ก็มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินค้าลดราคาของสหรัฐฯ รวมกันถึงร้อยละ 17 เลยทีเดียว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง