กระแสข่าวยกเลิก UCEPCOVID มุมมอง 'เอเซีย พลัส' ต่อหุ้นกลุ่มรพ.
ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS ระบุวานนี้มีกระแสข่าว รัฐฯ กำหนดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณายกเลิก UCEP COVID และกลับไปใช้สิทธิ์ UCEP ทั่วไป ประเมินเป็น Sentiment ลบต่อกลุ่มรพ. โดยเฉพาะ BCH และ BDMS จากความเสี่ยงจำนวนผู้ป่วยเข้ามาตรวจ/รักษา COVID น้อยลง เพราะต้องไปรพ.ที่ตนมีสิทธิ์เท่านั้น ทั้งนี้ ผลกระทบต่อประมาณการที่แทบไม่รวมรายได้ COVID ตั้งแต่ปี 2565 จำกัด หุ้นที่ปรับตัวลงมาสูงกว่าผลกระทบกรณีเลวร้าย เป็นโอกาสลงทุนทั้ง BDMS และ BCH
วานนี้มีกระแสข่าว ครม. พิจารณายกเลิกค่าใช้จ่ายในสถานบริการเอกชน (UCEPCOVID) สำหรับการดูแลกรณีโรค COVID-19 และหันไปใช้สิทธิ์ UCEP ทั่วไป เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มลดลงและอัตราการครองเตียงลดลง โดยหากกลับไปใช้ระบบ UCEP ทั่วไป ผู้ติดเชื้อโควิดต้องใช้สิทธิ์รักษาตามที่ผู้ป่วยมี อาทิ บัตรทอง, ประกันสังคมหรือสิทธิ์ข้าราชการ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ครม. ยังไม่มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าว โดยกำหนดเพียงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ อีกกระแสข่าวที่เกี่ยวข้อง คือ สปสช. พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยโควิด โดยกรณีผู้ป่วยสีเขียว (Mild Case) รพ.เอกชนจะเบิกได้ตาม Rate ของ Home/Community Isolation แต่ผู้ป่วยสีเหลือง/แดง ยังสามารถเบิกได้ตามปกติของสปสช. (อัตราการเบิกจ่าย ณ 1 ธ.ค. 2564) ซึ่งจะเริ่มปรับใช้เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการอีกที
2 กระแสข่าวดังกล่าวประเมินเป็นลบต่อกลุ่มรพ. ที่มีสัดส่วนรายได้โควิดที่เบิกกับภาครัฐ (UCEPCOVID) สูง และกลุ่มรพ.ที่มีเครือ Hospitel เยอะ อาทิ BDMS, BCH เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่มาตรวจ/รักษา COVID จะน้อยลงเพราะลูกค้าจะเบิกค่าใช้จ่าย COVID กับรพ.ที่ตนสมัครสิทธิ์ไว้เท่านั้น รวมทั้งอาจจะเบิกจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวต่ำลง หากพิจารณารายได้เกี่ยวข้องกับ COVID ของ BDMS และ BCH รายได้เฉลี่ยที่เกี่ยวข้องกับ COVID ราว 25% และ 50% ตามลำดับในช่วง 9M64 ขณะที่กลุ่มรพ.อื่นที่ฝ่ายวิจัยศึกษา อาทิ CHG และ RJH ก็ได้รับ Sentiment ลบเช่นกัน แต่ปัจจุบันฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการ
ในส่วนผลกระทบต่อประมาณการทั้ง 3 บริษัทที่ฝ่ายวิจัยที่กลับมาติดตามในปัจจุบัน (BDMS,BH และ BCH) ประเมินค่อนข้างจำกัด เนื่องจากฝ่ายวิจัยรวมรายได้ COVID ไว้อย่างอนุรักษ์นิยม กล่าวคือ BDMS และ BH ฝ่ายวิจัยไม่รวมรายได้ดังกล่าว แต่อาจจะมี Downside อยู่บ้างในส่วนการชะลอเปิดประเทศ ทำให้ผู้ป่วยต่างชาติอาจจะกลับมาช้ากว่าคาด ส่วน BCH ฝ่ายวิจัยรวมไว้ราว 18.3% ของรายได้รวมปี 2565 (แบ่งเป็นรายได้ตรวจ COVID 3% รักษา 9.1% และการขายวัคซีน 6.2%)
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาสมมติฐานกรณีเลวร้ายไม่รวมรายได้ COVID ของ BCH ในส่วนการตรวจและรักษาทั้งหมดและให้เหลือเพียงรายได้จาก Vaccine ที่มีการจำหน่ายหมดแล้ว (รวมเฉพาะวัคซีน Moderna ล็อตที่ 1 ที่บางส่วนรับรู้ในปี 2565 โดยยังไม่รวมล๊อตที่ 2 ซึ่ง BCH สั่งมาจำหน่ายเพิ่มเติม) พบว่ารายได้ปี 2565 ของ BCH ลดลงราว 13.3% กำไรลดลงราว 18.7% และมูลค่าพื้นฐาน (Fair Value) ลดลงราว 0.2 บาท (ดังตารางหน้า 2) ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในส่วนการระบาด COVID สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เชื่อว่าการยกเลิก UCEPCOVID ในปัจจุบันยังอาจจะไม่เหมาะสมและอาจจะขยับออกไปจนกว่าโอมิครอนจะเริ่มควบคุมได้
ราคาหุ้นในกลุ่ม รพ. วานนี้ ที่ปรับตัวลงมาสะท้อนความกังวลดังกล่าวราว 1.67% (เทียบกับตลาดที่ปรับขึ้น 0.7%) รวมถึงบางบริษัทยังปรับตัวลดลงกว่าผลกระทบกรณีเลวร้ายเช่นในส่วน BCH(FV@B24) เชื่อว่าเป็นโอกาสทยอยสะสม อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาพรวม Sentiment ที่ยังปกคลุมจากกระแสข่าวทั้งหมด การเข้าลงทุนเน้นที่หาจังหวะที่ทยอยเข้าสะสมเมื่อหุ้นอ่อนตัว โดยตัวเลือกลงทุนกลุ่ม ฝ่ายวิจัยยังชอบ BDMS (FV@B27) ที่ฐานรายได้กระจายตัว ช่วยให้ได้ประโยชน์ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่า COVID ระบาด หรือการกลับมาเปิดรับลูกค้าต่างชาติได้เร็ว รวมถึง BH(FV@B170) ที่ภาพใหญ่นับจากปี 2565 คาดหวังการฟื้นตัวของลูกค้าหลักผู้ป่วยต่างชาติได้