สธ.เตรียมยกเลิก UCEPCOVID..ลบต่อ "หุ้นกลุ่มรพ." มากน้อยแค่ไหน?
#BCH #ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS มองกรณี สธ. เตรียมเสนอหลายประเด็นเข้าสู่ที่ประชุม ศบค. อาทิ ยกเลิก UCEPCOVID และปรับราคาการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ประเมินเป็น Sentiment ลบต่อกลุ่มรพ. ประกันสังคม จากความเสี่ยงจานวนผู้ป่วยเข้ามาตรวจ/รักษา COVID น้อยลง เพราะต้องไปรพ.ที่ตนมีสิทธิ์เท่านั้น ทั้งนี้ ผลกระทบต่อประมาณการที่แทบไม่รวมรายได้ COVID ตั้งแต่ปี 2565 จากัด ยังให้เน้นลงทุน BH, BDMS คาดหวังการฟื้นตัวได้ชัด จากผู้ป่วยต่างชาติ โดยระยะสั้นเลี่ยง รพ. ประกันสังคม
วานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงหลายประเด็นที่เตรียมจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมศบค. ในวันนี้ อาทิ ยกเลิกโรคโควิด-19 ออกจากบริการยูเซป (UCEPCOVID) และให้ประชาชนหันไปใช้สิทธิ์ UCEP ทั่วไปแทน โดยผู้ติดเชื้อโควิดต้องไปใช้สิทธิ์รักษาตามที่ผู้ป่วยมี อาทิ บัตรทอง, ประกันสังคม, สิทธิ์ข้าราชการ และประกันสุขภาพต่างๆ นอกเหนือจากนี้ยังมีการปรับราคาการใช้บริการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ตามวิธีการตรวจ โดยตรวจ 2 ยีนส์ ภาครัฐฯจะจ่าย 900 จากเดิม 1,300 ส่วนตรวจ 3 ยีนส์ จ่าย 1,100 บาท จากเดิม 1,500 บาท คาดให้เริ่มมีผลในวันที่ 1 มี.ค. นี้
ประเมินเป็นลบต่อกลุ่มรพ. ที่มีสัดส่วนรายได้โควิดที่เบิกกับภาครัฐ (UCEPCOVID) สูง ในกลุ่ม รพ. ประกันสังคม (BCH, CHG และ RJH) และ BDMS บางส่วน เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่มาตรวจ/รักษา COVID จะน้อยลงเพราะลูกค้าจะเบิกค่าใช้จ่าย COVID กับรพ.ที่ตนสมัครสิทธิ์ไว้เท่านั้น หากพิจารณารายได้เกี่ยวข้องกับ COVID ของหุ้นในกลุ่มที่ฝ่ายวิจัยติดตาม BDMS, CHG และ BCH จะมีอยู่ราว 13%, 38% และ 50% ตามลาดับ ในช่วง 9M64 ขณะที่กลุ่มรพ.อื่นที่ฝ่ายวิจัยศึกษา อาทิ RJH มีสัดส่วนรายได้ COVID ราว 32% ในช่วง 9M64 ก็ได้รับ Sentiment ลบเช่นกัน แต่ปัจจุบันฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการ
ในส่วนผลกระทบต่อประมาณการทั้ง 4 บริษัทที่ฝ่ายวิจัยที่กลับมาติดตามในปัจจุบัน (BDMS,BH, CHG และ BCH) ประเมินค่อนข้างจากัด เนื่องจากฝ่ายวิจัยรวมรายได้ COVID ไว้อย่างอนุรักษ์นิยม กล่าวคือ BDMS และ BH ฝ่ายวิจัยไม่รวมรายได้ดังกล่าว ส่วน BCH ฝ่ายวิจัยรวมไว้ราว 18.3% ของรายได้รวมปี 2565 (แบ่งเป็นรายได้ตรวจ COVID 3% รักษา 9.1% และการขายวัคซีน 6.2%) และ CHG มีรายได้ COVID ราว 14.8% (แบ่งเป็นรายได้ตรวจ COVID 1.4%, รักษา 6.6% และการขายวัคซีน 6.8%) อยู่ภายใต้สมมติฐาน
จำนวนผู้ป่วย COVID ในประเทศปี 2565 อยู่ราว 15% ของปี 2564 ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ขณะที่ Downside อาจมีเล็กน้อยในส่วนค่าบริการที่ฝ่ายวิจัยใช้อัตราเดียวกับปีก่อน ขณะที่รัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลงราว 30% เนื่องจากอาจชดเชยบางส่วนจากปริมาณผู้ใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาสมมติฐานกรณีเลวร้ายไม่รวมรายได้ COVID ของ BCH และCHG ในส่วนการตรวจและรักษาทั้งหมด และให้เหลือเพียงรายได้จาก Vaccine ที่มีการจำหน่ายหมดแล้ว พบว่ารายได้ปี 2565 ของ BCH และ CHG ลดลงราว 12% และ 5.1% กำไรปี 2565 ลดลงราว 18.7% และ 5.8% ส่วนมูลค่าพื้นฐาน (Fair Value) ลดลงราว 0.2 บาท สำหรับ BCH และ ลดลงอย่างไม่มีนัยฯ สำหรับ CHG (ดังตาราง)
ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักลงทุนกลุ่ม “เท่าตลาด” ตัวเลือกลงทุนสำหรับรพ.ต่างชาติยังชอบ BDMS (FV@B27) และ BH (FV@170) จากความต่อเนื่องของกำไรปี 2565-66 ที่คาดหวังได้ชัดเจนมากที่สุด ขณะที่ รพ.ประกันสังคม แม้ Sentiment การลงทุนระยะสั้นอาจกระทบจากกรณีข้างต้น ระยะสั้นหลีกเลี่ยงไปก่อน และอาจพิจารณาสะสม BCH ได้หลังจากราคาหุ้นปรับฐาน จากจุดเด่น Valuation ฐานกำไรกลับสู่ปกติในปี 2566 ที่ถูกกว่า CHG และมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องจากเครือข่าย รพ. ที่มี