ASPS เปิด 4 เหตุผล Fund Flow มีแนวโน้มไหลเข้าหุ้นไทย แนะ 3 หุ้นเด่น
#ASPS #ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS ระบุว่าเมื่อวานนี้(9 ก.พ.) นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 30 ปีหรือตั้งแต่ทางตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูล หนุนให้ยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 4.37 หมื่นล้านบาท สูงสุดในภูมิภาค โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่ามี 4 เหตุผลที่ทำให้ Fund Flow ต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อในปี 2565
ทั้งนี้ 4 เหตุผลดังกล่าว ประกอบด้วย
1. ต่างชาติยังถือครองหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ และ MSCI มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในปี 2565 นี้ โดยปัจจุบันต่างชาติถือครองหุ้นไทยทางตรงเพียง 21% ยังต่ำกว่าในอดีตที่เคยอยู่ที่ระดับสูงถึง 29% ในปี 2556 ดังนั้นยังมีช่องว่างให้ Fund Flow ไหลเข้า รวมถึง Downside ในการขายค่อนข้างจำกัด อีกทั้ง MSCI มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในปี 2565 นี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวข้นมาแล้วกว่า 7% สูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ขึ้นมา 1% หนุนสัดส่วน Market Cap. Weight ที่ MSCI ใช้ในการคำนวณดัชนีเพิ่มขึ้น
2. โครงสร้างตลาดหุ้นไทยเป็นลักษณะหุ้น Value ที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในตอนนี้โดยตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้น Commodity และหุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศราว 2 ใน 3 ของมูลค่าตลาด
3. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยที่โดดเด่นกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังมีช่องว่างในการฟื้นไปเท่ากับช่วงก่อนเกิด COVID-19 ราว 5% หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโต 11% สูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วเติบโตราว 6%
4. สภาพคล่องส่วนเกินยังคอยหล่อเลี้ยงหุ้นไทยในปี 2565 นี้เนื่องจาก กนง.ยังมีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบายไทยต่อไปถึงสิ้นปี 2565 ช่วยหนุนให้สภาพคล่องส่วนเกินยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้น แตกต่างกับทางสหรัฐที่สภาพคล่องส่วนเกิน ที่เคยหนุนตลาดหุ้นจะทยอยลดลง เนื่องจากมีโอกาสเห็นการขึ้นดอกเบี้ย 4 - 5 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติจะมีส่วนสำคัญในการชี้นำตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สะท้อนได้จากสัดส่วนการซื้อขายเฉลี่ยหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ต้นปี 2565 นี้อยู่ที่ 42.3%พลิกกลับมาสูงสุดเมื่อเทียบกับนักลงทุนรายอื่นๆ และยังสูงสุดเมื่อเทียบกับสัดส่วนการซื้อขายในอดีตมาก ในทางตรงกันข้ามภาพของการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันฯ ในประเทศ ถือว่ามีน้ำหนักต่อตลาดน้อยลงทั้งในปี 2564 และต่อเนื่องมาในปี 2565 นี้ เนื่องจากเหลือสัดส่วนการซื้อขายเพียง 7.0% และ 8.0% ตามลำดับ แตกต่างกับในอดีตที่สูงกว่า 10%
ทั้งนี้ แรงซื้อต่างชาติที่เข้ามาโดดเด่นต่อเนื่อง หนุน SET Index Outperform เป็นพิเศษ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 8 วันทำการ กว่า 3.1% หรือ 50 จุด จาก 1634 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ 1,684 จุด แต่เมื่อเทียบกับสถิติในอดีตย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SET จะบวกได้ติดต่อกันตั้งแต่ 8 วัน ขึ้นไป มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากเพียง 0.7% เท่านั้น และถ้าจะบวก
ต่อไปจนถึง 12 วัน ในอดีตมีโอกาสให้ผลตอบแทนในช่วง -0.7% ถึง +1.2%
กลยุทธ์แนะนำหุ้นใหญ่พื้นฐานดีราคา Laggard เกาะกระแส Fund Flow อย่าง BH, MAKRO และ TOP เป็น Toppick