60 ปี รถไฟหัวกระสุนชิงกันเซ็ง ประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ?
รถไฟหัวกระสุน "ชิงกันเซ็ง" หรือ Tokaido Shinkansen ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 1964 หรือวันนี้เมื่อ 60 ปีก่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว รถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดได้เปลี่ยนแปลงวิถีการเดินทางในญี่ปุ่นอย่างมาก และยังสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ
เมื่อเวลาผ่านไป 60 ปี จากระยะทาง 515.4 กิโลเมตร เส้นทางรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นขยายขึ้นเป็น 2,764.6 กิโลเมตร ครอบคลุมเมืองใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่บนเกาะฮอนชู และคิวชู และฮาโกดาเตะที่เกาะฮอกไกโด การเปลี่ยนแปลงในระบบชิงกันเซ็งและผลกระทบต่อญี่ปุ่นนั้นกว้างขวางและลึกซึ้ง มาดูกันว่าการเดินทางและวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในช่วง 6 ทศวรรษที่ผ่านมา
เทคโนโลยีและความเร็ว
เมื่อรถไฟชิงกันเซ็งเริ่มเปิดให้บริการ ความเร็วที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือเป็นความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในตอนนั้น ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการขนส่งของโลก และด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันรถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดสามารถวิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความสามารถในการพัฒนารถไฟให้เร็วขึ้นโดยไม่ลดทอนความปลอดภัย เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของชิงกันเซ็ง ความแม่นยำด้านเวลาในการเดินทางถือเป็นสิ่งที่ผู้โดยสารวางใจได้เสมอ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเลิศด้านการจัดการระบบการขนส่งของญี่ปุ่น
ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในช่วงการทดสอบรถไฟพลังแม่เหล็กไฟฟ้า L0 Series Maglev ในช่วงปี 2021 รถไฟทั้งขบวนลอยตัวเหนือรางแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทรงพลังราวกับวิ่งอยู่บนอากาศ แม้จะอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาแต่มันก็ทำความเร็วเป็นสถิติโลกเอาไว้ที่ 602 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีแผนการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2027
นอกจากการพัฒนารถไฟพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ญี่ปุ่นยังมีแผนพัฒนารถไฟแบบไร้คนขับ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นกำลังเป็นประเทศผู้สูงอายุ และเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น บริษัทรถไฟอย่างเช่น JR East จึงได้ประกาศว่ารถไฟหัวกระสุนไร้คนขับอาจจะเริ่มนำมาใช้งานในช่วงปี 2030
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
การเปิดตัวของชิงกันเซ็งไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงการเดินทางในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างกว้างขวาง เครือข่ายรถไฟชิงกันเซ็งช่วยลดเวลาการเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว, นาโกยา และโอซาก้า
ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายชิงกันเซ็งได้ขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ การพัฒนาเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ที่เคยห่างไกลและเข้าถึงได้ยาก ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นจำนวนมากกว่า 250,000 คน เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงในทุก ๆ วัน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตและการทำธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกระจายความเจริญไปยังเมืองต่าง ๆ ของญี่ปุ่น
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ระบบชิงกันเซ็งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเดินทางระยะไกล โดยแทนที่การเดินทางด้วยรถยนต์และเครื่องบินในหลายกรณี การใช้รถไฟเป็นระบบขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่ายานพาหนะเหล่านี้ ทำให้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การให้บริการด้วยไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานหลักทำให้ชิงกันเซ็งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ตลอดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบการผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ระบบชิงกันเซ็งสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการออกแบบตัวรถที่ลดแรงต้านลม และปรับปรุงการจัดการพลังงาน เพื่อให้ระบบการขนส่งนี้ยังคงเป็นหนึ่งในระบบที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด
และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยภูเขา รูปแบบการเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงบนระบบรางผ่านอุโมงค์จำนวนมาก ส่งผลให้ลดปริมาณการสร้างถนนหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้การเกลี่ยเส้นทางบนภูเขาไปตลอดเส้นทาง ซึ่งอาจต้องตัดต้นไม้จำนวนมาก
ความปลอดภัยและการจัดการภัยพิบัติ
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชิงกันเซ็งมีชื่อเสียง คือ การรักษาความปลอดภัยระดับสูง ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา มีสถิติอุบัติเหตุที่น้อยมาก และไม่มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากการเดินทางด้วยชิงกันเซ็ง นี่เป็นผลจากการออกแบบเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงหลัง ญี่ปุ่นเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น การปรับปรุงเทคโนโลยีชิงกันเซ็งในการตรวจจับและรับมือกับภัยพิบัติเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ ระบบการตรวจจับแผ่นดินไหวที่สามารถหยุดรถไฟทันทีที่มีการตรวจจับความเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
“ความปลอดภัย คือ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาและการฝึกอบรมพนักงานของเราเป็นอย่างยิ่ง” ไดสุเกะ คุมะจิมะ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของ JR Central เปิดเผยผ่านเว็บไซต์ Taipei Times
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเดินทาง
ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก การเดินทางด้วยรถไฟชิงกันเซ็งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นอกจากจะเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายและรวดเร็วแล้ว ชิงกันเซ็งยังเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นระบบและความมีระเบียบของสังคมญี่ปุ่น
อย่างที่ทราบกันดีว่าชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการตรงต่อเวลา และสำหรับชิงกันเซ็งการตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญ โดยกล่าวกันว่าเมื่อชิงกันเซ็งถึงสถานีโตเกียว ทีมงานทำความสะอาดจะมีเวลาเพียง 7 นาที อย่างพอดิบพอดี ในการทำความสะอาดภายในรถไฟ และเตรียมพร้อมสำหรับผู้โดยสารกลุ่มต่อไป กรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยความล่าช้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกินหนึ่งนาที
การเดินทางด้วยชิงกันเซ็งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคและเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมต่อระหว่างสนามบินกับสถานีชิงกันเซ็งได้ทำให้การเดินทางจากต่างประเทศมายังเมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่นง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปถึง 60 ปีแห่งความสำเร็จของรถไฟหัวกระสุนโทไกโดชิงกันเซ็ง สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี ความปลอดภัย และความยั่งยืน
ระบบชิงกันเซ็งไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงการเดินทางในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศ ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ชิงกันเซ็งยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความสามารถในการปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ที่มาของข้อมูล Wikipedia, Channel News Asia, Japan Today, Taipei Times