#โควิด-19 #TNN ช่อง16
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ผู้ผลิตวัคซีน COVID-19 ปรับปรุงสูตรของพวกเขาเพื่อมุ่งเป้าไปที่สายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่เป็นสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน คือ JN.1 คำแนะนำนี้มาหลังจากที่กลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิคของ WHO ด้านองค์ประกอบของวัคซีน COVID-19 (TAG-CO-VAC) ได้ประเมินวิวัฒนาการทางพันธุกรรมและแอนติเจนของไวรัส และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันต่อสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่คำแถลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 จากคณะที่ปรึกษาด้านเทคนิคว่าด้วยองค์ประกอบวัคซีน COVID-19 ของ WHO (TAG-CO-VAC) ได้ให้คำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบแอนติเจนของวัคซีนโควิด-19 ดังนี้:1. ณ เดือนเมษายน 2024 เชื้อ SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดเกือบทั้งหมดมาจากสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ซึ่งได้แทนที่สายพันธุ์ที่ระบาดก่อนหน้านี้คือโอมิครอน XBB2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนต่อเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในปัจจุบัน TAG-CO-VAC แนะนำให้ใช้แอนติเจนสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ชนิดเดี่ยวในวัคซีน COVID-19 รูปแบบใหม่ในอนาคต (monovalent JN.1 booster vaccine)3. แม้ว่าวัคซีน XBB.1.5 ชนิดเดี่ยวที่ใช้ในปัจจุบันจะยังให้การป้องกันต่อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 ที่กำลังระบาดในช่วงแรกได้บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่มีอาการอาจลดลงเมื่อไวรัสมีวิวัฒนาการต่อไปจากโอมิครอน JN.14. โปรแกรมการฉีดวัคซีนควรยังคงใช้วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการรับรองจาก WHO ต่อไปโดยไม่ต้องรอวัคซีนที่มีองค์ประกอบแอนติเจนใหม่5. TAG-CO-VAC เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและผลลัพธ์ทางคลินิกสำหรับวัคซีนที่ได้รับการรับรองในปัจจุบัน รวมถึงวัคซีนที่มีแอนติเจนใหม่สำหรับเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่กำลังระบาดปัจจุบัน วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการอนุมัติซึ่งพัฒนาโดย Pfizer, BioNTech, Moderna และ Novavax มุ่งเป้าไปที่โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 อย่างไรก็ตาม WHO ได้ระบุว่าวัคซีนเหล่านี้อาจสูญเสียประสิทธิภาพเมื่อไวรัสยังคงวิวัฒนาการจากโอมิครอน JN.1 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) รายงานว่า โอมิครอน JN.1 กลายเป็นสายพันธุ์ โควิด-19 ที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริก
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
หลังจาก "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจและมีประสบการณ์ด้านการทูตเข้ามารับช่วงต่อล่าสุดมีรายงานว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนก่อน น่าจะเป็นตัวเต็งสำหรับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศคนใหม่ เศรษฐากล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีประสบการณ์ในวงการการทูตและการเมืองมาอย่างยาวนาน โดยทำงานอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดเส้นทางข้าราชการของมาริษ เสงี่ยมพงษ์มาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มีประสบการณ์ยาวนาน โดยเขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในสายงานการทูต อาทิ- เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งรับผิดชอบการสถานเอกอัครราชทูตของไทยในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี และนาอูรู- อดีตเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐฟิจิ ซึ่งรับผิดชอบการสถานเอกอัครราชทูตของไทยในฟิจิ- อดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลจากประวัติการทำงานที่ยาวนาน ทำให้มาริษเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงการทูต มีความสัมพันธ์อันดีกับหลายประเทศ ประกอบกับประสบการณ์ในการบริหารงานระดับสูง จึงถือเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อ่านต่อ >35
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงรายงานจากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ SARS-CoV-2 จากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและแชร์ขึ้นไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID) พบโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ KP.3 ทั่วโลกจำนวน 295 คน พบในไทย 2 คนจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งหากวิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโอไมครอน KP3 พบมีความได้เปรียบในการเติบโต - แพร่ระบาด เหนือกว่าโอไมครอน JN.1 ที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลกถึง ร้อยละ 126 หรือ 2.26 เท่าทั้งนี้การที่โอมิครอน KP.3 มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้ดีกว่า JN.1 ถึงเกือบ 2.3 เท่านี้ อาจเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่สำคัญบริเวณส่วนหนามของไวรัส (ที่ใช้จับกับผิวเซลล์) ณ. ตำแหน่ง Q493E ที่ทำให้ไวรัสหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น จึงแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นในประชากรที่เคยติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมาแล้ว ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าโอไมครอน KP.3 อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดแทนที่ JN.1 ได้ในอนาคตอันใกล้ จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการรับมือที่เหมาะสมหัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ กล่าวว่าเมื่อโควิด-19 ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง การติดตามสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาสายพันธุ์อย่างโอมิครอน KP.3 จะช่วยให้นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ SARS-CoV-2 และปรับมาตรการเพื่อลดผลกระทบของการระบาดที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่ผลกระทบทั้งหมดของโอมิครอน KP.3 ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษา การปรากฏตัวของสายพันธุ์นี้เป็นการย้ำเตือนว่าการต่อสู้กับโควิด-19 ยังอีกยาวไกล การเฝ้าระวัง การวิจัย และความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2ภาพจาก: AFP
อ่านต่อ >23
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กำลังเป็นไวรัสที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ สำหรับเซฟสาวไทยผู้เข้าแข่งขันรายการมาสเตอร์เซฟออสเตรเลีย ได้โชว์ฝีมือการทำอาหารฟิวส์ชั่น ‘ลาบจิ้งโจ้’ ซึ่งเป็นอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมไทยลงไปกับวัสดุดิบจากออสเตรเลีย เสิร์ฟพร้อมไข่แดงดองซีอิ๊วถั่วเหลือง และเวเฟอร์ข้าวบางเฉียบแทนข้าวเหนียว วินาทีที่กรรมการได้ชิมนั้นถึงกับอึ้งและพากันชมอย่างไม่ขาดปาก ถึงกับบอกว่าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเนื้อจิงโจ้อร่อยได้ขนาดนี้ โดยคลิปนี้มียอดวิวกว่า 4.1 ล้านครั้ง ยอดไลก์ทะลุแสน ผู้ชมต่างเอาใจช่วยให้ชนะการแข่งขันสำหรับเซฟสาวไทยรายนี้มีชื่อว่าแนท หรือ ‘Nat Thaipun’ เธอเป็นคนไทยที่อาศัย และเติบโตในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามเธอนั้นมีความผูกพันกับวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง และเติบโตมาภายใต้ประเพณี ภาษา วิถีชีวิตของคนไทย แนทเคยฝึกฝนเป็นบาริสต้า และ ทำงานในต่างประเทศนานถึง 7 ปีในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ความอยู่ห่างบ้านทำให้แนทหลงใหลในการทำอาหาร โดยมองว่าอาหารสามารถเป็นตัวเชื่อมโยงเอกลักษณ์มรดกทางวัฒนะธรรมเข้าด้วยกัน การเข้าแข่งขันครั้งนี้เธอมุ่งหวังว่า มาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะมอบโอกาสในนำเสนอรากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านอาหาร สไตล์และบุคลิกภาพของเธอ ข้อมูลจาก: MasterChef Australiaภาพจาก: MasterChef Australia
อ่านต่อ >30
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ผู้ผลิตวัคซีน COVID-19 ปรับปรุงสูตรของพวกเขาเพื่อมุ่งเป้าไปที่สายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่เป็นสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน คือ JN.1 คำแนะนำนี้มาหลังจากที่กลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิคของ WHO ด้านองค์ประกอบของวัคซีน COVID-19 (TAG-CO-VAC) ได้ประเมินวิวัฒนาการทางพันธุกรรมและแอนติเจนของไวรัส และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันต่อสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่คำแถลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 จากคณะที่ปรึกษาด้านเทคนิคว่าด้วยองค์ประกอบวัคซีน COVID-19 ของ WHO (TAG-CO-VAC) ได้ให้คำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบแอนติเจนของวัคซีนโควิด-19 ดังนี้:1. ณ เดือนเมษายน 2024 เชื้อ SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดเกือบทั้งหมดมาจากสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ซึ่งได้แทนที่สายพันธุ์ที่ระบาดก่อนหน้านี้คือโอมิครอน XBB2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนต่อเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในปัจจุบัน TAG-CO-VAC แนะนำให้ใช้แอนติเจนสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ชนิดเดี่ยวในวัคซีน COVID-19 รูปแบบใหม่ในอนาคต (monovalent JN.1 booster vaccine)3. แม้ว่าวัคซีน XBB.1.5 ชนิดเดี่ยวที่ใช้ในปัจจุบันจะยังให้การป้องกันต่อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 ที่กำลังระบาดในช่วงแรกได้บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่มีอาการอาจลดลงเมื่อไวรัสมีวิวัฒนาการต่อไปจากโอมิครอน JN.14. โปรแกรมการฉีดวัคซีนควรยังคงใช้วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการรับรองจาก WHO ต่อไปโดยไม่ต้องรอวัคซีนที่มีองค์ประกอบแอนติเจนใหม่5. TAG-CO-VAC เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและผลลัพธ์ทางคลินิกสำหรับวัคซีนที่ได้รับการรับรองในปัจจุบัน รวมถึงวัคซีนที่มีแอนติเจนใหม่สำหรับเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่กำลังระบาดปัจจุบัน วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการอนุมัติซึ่งพัฒนาโดย Pfizer, BioNTech, Moderna และ Novavax มุ่งเป้าไปที่โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 อย่างไรก็ตาม WHO ได้ระบุว่าวัคซีนเหล่านี้อาจสูญเสียประสิทธิภาพเมื่อไวรัสยังคงวิวัฒนาการจากโอมิครอน JN.1 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) รายงานว่า โอมิครอน JN.1 กลายเป็นสายพันธุ์ โควิด-19 ที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริก
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
หลังจาก "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจและมีประสบการณ์ด้านการทูตเข้ามารับช่วงต่อล่าสุดมีรายงานว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนก่อน น่าจะเป็นตัวเต็งสำหรับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศคนใหม่ เศรษฐากล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีประสบการณ์ในวงการการทูตและการเมืองมาอย่างยาวนาน โดยทำงานอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดเส้นทางข้าราชการของมาริษ เสงี่ยมพงษ์มาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มีประสบการณ์ยาวนาน โดยเขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในสายงานการทูต อาทิ- เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งรับผิดชอบการสถานเอกอัครราชทูตของไทยในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี และนาอูรู- อดีตเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐฟิจิ ซึ่งรับผิดชอบการสถานเอกอัครราชทูตของไทยในฟิจิ- อดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลจากประวัติการทำงานที่ยาวนาน ทำให้มาริษเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงการทูต มีความสัมพันธ์อันดีกับหลายประเทศ ประกอบกับประสบการณ์ในการบริหารงานระดับสูง จึงถือเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อ่านต่อ >35
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงรายงานจากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ SARS-CoV-2 จากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและแชร์ขึ้นไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID) พบโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ KP.3 ทั่วโลกจำนวน 295 คน พบในไทย 2 คนจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งหากวิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโอไมครอน KP3 พบมีความได้เปรียบในการเติบโต - แพร่ระบาด เหนือกว่าโอไมครอน JN.1 ที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลกถึง ร้อยละ 126 หรือ 2.26 เท่าทั้งนี้การที่โอมิครอน KP.3 มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้ดีกว่า JN.1 ถึงเกือบ 2.3 เท่านี้ อาจเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่สำคัญบริเวณส่วนหนามของไวรัส (ที่ใช้จับกับผิวเซลล์) ณ. ตำแหน่ง Q493E ที่ทำให้ไวรัสหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น จึงแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นในประชากรที่เคยติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมาแล้ว ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าโอไมครอน KP.3 อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดแทนที่ JN.1 ได้ในอนาคตอันใกล้ จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการรับมือที่เหมาะสมหัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ กล่าวว่าเมื่อโควิด-19 ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง การติดตามสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาสายพันธุ์อย่างโอมิครอน KP.3 จะช่วยให้นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ SARS-CoV-2 และปรับมาตรการเพื่อลดผลกระทบของการระบาดที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่ผลกระทบทั้งหมดของโอมิครอน KP.3 ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษา การปรากฏตัวของสายพันธุ์นี้เป็นการย้ำเตือนว่าการต่อสู้กับโควิด-19 ยังอีกยาวไกล การเฝ้าระวัง การวิจัย และความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2ภาพจาก: AFP
อ่านต่อ >23
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
กำลังเป็นไวรัสที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ สำหรับเซฟสาวไทยผู้เข้าแข่งขันรายการมาสเตอร์เซฟออสเตรเลีย ได้โชว์ฝีมือการทำอาหารฟิวส์ชั่น ‘ลาบจิ้งโจ้’ ซึ่งเป็นอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมไทยลงไปกับวัสดุดิบจากออสเตรเลีย เสิร์ฟพร้อมไข่แดงดองซีอิ๊วถั่วเหลือง และเวเฟอร์ข้าวบางเฉียบแทนข้าวเหนียว วินาทีที่กรรมการได้ชิมนั้นถึงกับอึ้งและพากันชมอย่างไม่ขาดปาก ถึงกับบอกว่าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเนื้อจิงโจ้อร่อยได้ขนาดนี้ โดยคลิปนี้มียอดวิวกว่า 4.1 ล้านครั้ง ยอดไลก์ทะลุแสน ผู้ชมต่างเอาใจช่วยให้ชนะการแข่งขันสำหรับเซฟสาวไทยรายนี้มีชื่อว่าแนท หรือ ‘Nat Thaipun’ เธอเป็นคนไทยที่อาศัย และเติบโตในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามเธอนั้นมีความผูกพันกับวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง และเติบโตมาภายใต้ประเพณี ภาษา วิถีชีวิตของคนไทย แนทเคยฝึกฝนเป็นบาริสต้า และ ทำงานในต่างประเทศนานถึง 7 ปีในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ความอยู่ห่างบ้านทำให้แนทหลงใหลในการทำอาหาร โดยมองว่าอาหารสามารถเป็นตัวเชื่อมโยงเอกลักษณ์มรดกทางวัฒนะธรรมเข้าด้วยกัน การเข้าแข่งขันครั้งนี้เธอมุ่งหวังว่า มาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะมอบโอกาสในนำเสนอรากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านอาหาร สไตล์และบุคลิกภาพของเธอ ข้อมูลจาก: MasterChef Australiaภาพจาก: MasterChef Australia
อ่านต่อ >30
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ผู้ผลิตวัคซีน COVID-19 ปรับปรุงสูตรของพวกเขาเพื่อมุ่งเป้าไปที่สายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่เป็นสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน คือ JN.1 คำแนะนำนี้มาหลังจากที่กลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิคของ WHO ด้านองค์ประกอบของวัคซีน COVID-19 (TAG-CO-VAC) ได้ประเมินวิวัฒนาการทางพันธุกรรมและแอนติเจนของไวรัส และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันต่อสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่คำแถลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 จากคณะที่ปรึกษาด้านเทคนิคว่าด้วยองค์ประกอบวัคซีน COVID-19 ของ WHO (TAG-CO-VAC) ได้ให้คำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบแอนติเจนของวัคซีนโควิด-19 ดังนี้:1. ณ เดือนเมษายน 2024 เชื้อ SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดเกือบทั้งหมดมาจากสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ซึ่งได้แทนที่สายพันธุ์ที่ระบาดก่อนหน้านี้คือโอมิครอน XBB2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนต่อเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่กำลังระบาดในปัจจุบัน TAG-CO-VAC แนะนำให้ใช้แอนติเจนสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ชนิดเดี่ยวในวัคซีน COVID-19 รูปแบบใหม่ในอนาคต (monovalent JN.1 booster vaccine)3. แม้ว่าวัคซีน XBB.1.5 ชนิดเดี่ยวที่ใช้ในปัจจุบันจะยังให้การป้องกันต่อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 ที่กำลังระบาดในช่วงแรกได้บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่มีอาการอาจลดลงเมื่อไวรัสมีวิวัฒนาการต่อไปจากโอมิครอน JN.14. โปรแกรมการฉีดวัคซีนควรยังคงใช้วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการรับรองจาก WHO ต่อไปโดยไม่ต้องรอวัคซีนที่มีองค์ประกอบแอนติเจนใหม่5. TAG-CO-VAC เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและผลลัพธ์ทางคลินิกสำหรับวัคซีนที่ได้รับการรับรองในปัจจุบัน รวมถึงวัคซีนที่มีแอนติเจนใหม่สำหรับเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่กำลังระบาดปัจจุบัน วัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการอนุมัติซึ่งพัฒนาโดย Pfizer, BioNTech, Moderna และ Novavax มุ่งเป้าไปที่โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 อย่างไรก็ตาม WHO ได้ระบุว่าวัคซีนเหล่านี้อาจสูญเสียประสิทธิภาพเมื่อไวรัสยังคงวิวัฒนาการจากโอมิครอน JN.1 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) รายงานว่า โอมิครอน JN.1 กลายเป็นสายพันธุ์ โควิด-19 ที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริก
อ่านต่อ >21