รีเซต

เช็กด่วน! เราใช่กลุ่มที่ต้องรีบฉีดวัคซีนโควิด-19 รึเปล่า

เช็กด่วน! เราใช่กลุ่มที่ต้องรีบฉีดวัคซีนโควิด-19 รึเปล่า
Ingonn
2 มิถุนายน 2564 ( 14:30 )
325

ในช่วงที่หลายคนเริ่มทยอยลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือกำลังรอวันนัดหมายฉีดวัคซีน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือเราต้องอย่าลืมเช็กตัวเองก่อน ว่าเราเป็นผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มต้องรับวัคซีนอย่างเร่งด่วน หรือควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนรับการฉีด เพราะการฉีดวัคซีนโควิดเข้าร่างกายอาจส่งผลกระทบได้หากเราจัดอยู่ในผู้ป่วยที่ต้องให้แพทย์พิจารณา

 

 


วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยที่ให้บริการฉีดตอนนี้มีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ วัคซีนซิโนแวค และวัคซีนแอสตร้าเซเนกา โดยวัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีนประเภท inactivated vaccine หรือ เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อตายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เป็นวัคซีนประเภท viralvector vaccine ที่ใช้เชื้อเป็นพาหะที่พาเข้ามาในร่างกายและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live-attenuated vaccines)

 

 

วันนี้ TrueID จึงได้รวบรวมข้อมูลจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่เตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เช็กร่างกายตัวเองก่อนว่าอยู่ในกลุ่มที่ต้องรีบรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือต้องปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด

 

 

 

แนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม

 

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยสนับสนุนให้บุคคลทุกคนที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันโดยเร็วที่สุด โดยสนับสนุนให้ผู้ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมาตรวจติดตามรับการบริบาลที่สถานพยาบาลทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ได้รับวัคซีนโควิด-19 ในวันที่มารับบริการหรือก่อนจำหน่ายกลับบ้าน เพื่อให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการให้วัคซีนได้ถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ในปัจจุบันประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้

 

1.ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้

 

2.บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม

 

3.ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนและหลังการฉีด

 

 

 


ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้ 

 

 

1. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งอยู่ในภาวะคงที่ เช่น 

 

- โรคความดันเลือดสูงหรือโรคเบาหวานซึ่งไม่มีภาวะวิกฤต แม้ยังควบคุมระดับความดันเลือดหรือระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ได้ตามเป้าหมาย  

- โรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ  

- โรคระบบทางเดินอาหารและตับ

- โรคติดเชื้อเอชไอวี 

- โรคข้ออักเสบ/โรคแพ้ภูมิตัวเอง  

- โรคสะเก็ดเงิน  

- โรคภูมิแพ้  

- ภาวะสมองเสื่อม  

- อัมพาต อัมพฤกษ์  

- โรคไตเรื้อรัง 

- ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง 

- โรคหืด/ปอดอุดกั้นเรื้อรัง  

- ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)  

- ไขกระดูกทำงานผิดปกติ (MDS หรือ MPN)  

- โรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา และโรคมะเร็งอื่น 

 

 

2. ผู้ป่วยที่ได้รับหรืออยู่ระหว่างได้รับการบำบัดด้วยยาและวิธีการต่าง ๆ เช่น  

 

- เคมีบำบัด รังสีรักษา  

- การบำบัดทดแทนไต  

- ยากดภูมิคุ้มกันที่อาการของโรคสงบ 

- เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดทุกชนิด  

- อิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ  

- ยาสูดสเตียรอยด์  

- ยาควบคุมอาการของโรคต่าง

 

 

3. ผู้ป่วยที่เลือดออกง่าย 

 

- โรคเลือดออกง่าย  

- เกล็ดเลือดต่ำหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ 

- ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วาร์ฟาริน (เช่น aspirin, clopidogrel, ticagrelor,  prasugrel)  

- ได้รับยาวาร์ฟารินต้านการแข็งตัวของเลือด  

- กรณีมีผลตรวจระดับ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาและไม่จำเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน 

 

รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วย น้ำแข็งหรือเจลเย็น 

 

 

4. บุคคลที่มีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยาต่างๆ 

 

 

5. ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ (เช่น ผู้ป่วยสมอง เสื่อม ผู้ป่วยติดเตียง) ควรให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รับทราบข้อมูลและตัดสินใจแทน 

 

 

6. ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว

 

 

 

 

 

บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม 

 

1. บุคคลที่มีประวัติแอนาฟิแล็กซิสจากวัคซีนอื่นมาก่อน แนะนำให้ตรวจสอบส่วนประกอบของวัคซีนที่ผู้ป่วยเคยแพ้ และให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ไม่มีส่วนประกอบเดียวกันกับวัคซีนที่เคยแพ้ได้ทันที 

 

 

2. ผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่เสถียรหรือยังมีอาการ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต (life-threatening) เช่น

 

- ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)  

- ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute decompensated heart failure)

- โรคความดันเลือดสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency)  

- โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke) โรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง/โรคหืดที่มีอาการกำเริบ (acute  exacerbation of COPD/asthma)  

- ผู้ป่วยหลังรับการผ่าตัด แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีเมื่อควบคุมอาการได้คงที่แล้วหรือก่อนจำหน่ายกลับ 

 

 

3. ผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แนะนำให้รอจนกระทั่งพ้นช่วงที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรงแล้วรีบจัดให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลเกิน 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร

 

 

4. ผู้ป่วยโรคเลือด ซึ่งได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ ต้นกำเนิด (stem cells) หรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลัง ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell  

 

 

5. ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต ตับ ปอด  หัวใจ แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือน หลังผ่าตัดและมีอาการคงที่แล้ว หรือเมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับการรักษาภาวะปฏิเสธอวัยวะ โดยให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน 

 

 

6. ผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยแอนติบอดี (antibody  therapy) หรือได้รับยาแอนติบอดี (antibody drugs: -mab)  แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ดังนี้ 

 

- ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เคยได้รับการบำบัดด้วยพลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 (convalescent plasma  containing anti-SARS-CoV-2 antibodies) หรือ monoclonal antibodies for treatment of COVID-19  (casirivimab & imdevimab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังได้รับการบำบัดดังกล่าว

 

- ผู้ป่วยที่ได้รับยา rituximab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับยาดังกล่าว หรือก่อนให้ยา rituximab ครั้งแรกอย่างน้อย 14 วัน 

 

- ผู้ป่วยที่ได้รับยาแอนติบอดีขนานอื่น (เช่น omalizumab,  benralizumab, dupilumab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 7 วันก่อนหรือหลังได้รับยาดังกล่าว

 

 

 

 

 

 

 


บุคคลผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด  

 

- สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม  รวมทั้งชา/กาแฟ ยาต่าง ๆ ตลอดจนทำหน้าที่การงานที่เคยทำปกติได้ และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยทำปกติ หรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1-2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน  

 

 

- ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่น เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลา แต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน  

 

 

- ในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1  สัปดาห์

 

 

ประกาศฉบับเต็ม แนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม ฉบับวันที่ 25 พฤษภาคม 2564

 

 

 

ข้อมูลจาก  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

 

 

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง