เช็กด่วน! เราใช่กลุ่มที่ต้องรีบฉีดวัคซีนโควิด-19 รึเปล่า
ในช่วงที่หลายคนเริ่มทยอยลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือกำลังรอวันนัดหมายฉีดวัคซีน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือเราต้องอย่าลืมเช็กตัวเองก่อน ว่าเราเป็นผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มต้องรับวัคซีนอย่างเร่งด่วน หรือควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนรับการฉีด เพราะการฉีดวัคซีนโควิดเข้าร่างกายอาจส่งผลกระทบได้หากเราจัดอยู่ในผู้ป่วยที่ต้องให้แพทย์พิจารณา
วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยที่ให้บริการฉีดตอนนี้มีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ วัคซีนซิโนแวค และวัคซีนแอสตร้าเซเนกา โดยวัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีนประเภท inactivated vaccine หรือ เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อตายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เป็นวัคซีนประเภท viralvector vaccine ที่ใช้เชื้อเป็นพาหะที่พาเข้ามาในร่างกายและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live-attenuated vaccines)
วันนี้ TrueID จึงได้รวบรวมข้อมูลจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่เตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เช็กร่างกายตัวเองก่อนว่าอยู่ในกลุ่มที่ต้องรีบรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือต้องปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
แนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยสนับสนุนให้บุคคลทุกคนที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันโดยเร็วที่สุด โดยสนับสนุนให้ผู้ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมาตรวจติดตามรับการบริบาลที่สถานพยาบาลทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ได้รับวัคซีนโควิด-19 ในวันที่มารับบริการหรือก่อนจำหน่ายกลับบ้าน เพื่อให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการให้วัคซีนได้ถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ในปัจจุบันประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้
1.ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้
2.บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม
3.ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนและหลังการฉีด
ผู้ป่วย/บุคคลที่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้
1. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งอยู่ในภาวะคงที่ เช่น
- โรคความดันเลือดสูงหรือโรคเบาหวานซึ่งไม่มีภาวะวิกฤต แม้ยังควบคุมระดับความดันเลือดหรือระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ได้ตามเป้าหมาย
- โรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ
- โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
- โรคติดเชื้อเอชไอวี
- โรคข้ออักเสบ/โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- โรคสะเก็ดเงิน
- โรคภูมิแพ้
- ภาวะสมองเสื่อม
- อัมพาต อัมพฤกษ์
- โรคไตเรื้อรัง
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง
- โรคหืด/ปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)
- ไขกระดูกทำงานผิดปกติ (MDS หรือ MPN)
- โรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา และโรคมะเร็งอื่น
2. ผู้ป่วยที่ได้รับหรืออยู่ระหว่างได้รับการบำบัดด้วยยาและวิธีการต่าง ๆ เช่น
- เคมีบำบัด รังสีรักษา
- การบำบัดทดแทนไต
- ยากดภูมิคุ้มกันที่อาการของโรคสงบ
- เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดทุกชนิด
- อิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ
- ยาสูดสเตียรอยด์
- ยาควบคุมอาการของโรคต่าง
3. ผู้ป่วยที่เลือดออกง่าย
- โรคเลือดออกง่าย
- เกล็ดเลือดต่ำหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ
- ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วาร์ฟาริน (เช่น aspirin, clopidogrel, ticagrelor, prasugrel)
- ได้รับยาวาร์ฟารินต้านการแข็งตัวของเลือด
- กรณีมีผลตรวจระดับ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาและไม่จำเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน
รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วย น้ำแข็งหรือเจลเย็น
4. บุคคลที่มีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยาต่างๆ
5. ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ (เช่น ผู้ป่วยสมอง เสื่อม ผู้ป่วยติดเตียง) ควรให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รับทราบข้อมูลและตัดสินใจแทน
6. ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
บุคคล/ผู้ป่วยที่แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม
1. บุคคลที่มีประวัติแอนาฟิแล็กซิสจากวัคซีนอื่นมาก่อน แนะนำให้ตรวจสอบส่วนประกอบของวัคซีนที่ผู้ป่วยเคยแพ้ และให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ไม่มีส่วนประกอบเดียวกันกับวัคซีนที่เคยแพ้ได้ทันที
2. ผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่เสถียรหรือยังมีอาการ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต (life-threatening) เช่น
- ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)
- ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute decompensated heart failure)
- โรคความดันเลือดสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency)
- โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke) โรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง/โรคหืดที่มีอาการกำเริบ (acute exacerbation of COPD/asthma)
- ผู้ป่วยหลังรับการผ่าตัด แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทันทีเมื่อควบคุมอาการได้คงที่แล้วหรือก่อนจำหน่ายกลับ
3. ผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แนะนำให้รอจนกระทั่งพ้นช่วงที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรงแล้วรีบจัดให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลเกิน 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร
4. ผู้ป่วยโรคเลือด ซึ่งได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ ต้นกำเนิด (stem cells) หรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลัง ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T cell
5. ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต ตับ ปอด หัวใจ แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือน หลังผ่าตัดและมีอาการคงที่แล้ว หรือเมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับการรักษาภาวะปฏิเสธอวัยวะ โดยให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน
6. ผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยแอนติบอดี (antibody therapy) หรือได้รับยาแอนติบอดี (antibody drugs: -mab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ดังนี้
- ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เคยได้รับการบำบัดด้วยพลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 (convalescent plasma containing anti-SARS-CoV-2 antibodies) หรือ monoclonal antibodies for treatment of COVID-19 (casirivimab & imdevimab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังได้รับการบำบัดดังกล่าว
- ผู้ป่วยที่ได้รับยา rituximab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับยาดังกล่าว หรือก่อนให้ยา rituximab ครั้งแรกอย่างน้อย 14 วัน
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาแอนติบอดีขนานอื่น (เช่น omalizumab, benralizumab, dupilumab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีน โควิด 19 ได้เมื่อพ้น 7 วันก่อนหรือหลังได้รับยาดังกล่าว
บุคคลผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด
- สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งชา/กาแฟ ยาต่าง ๆ ตลอดจนทำหน้าที่การงานที่เคยทำปกติได้ และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยทำปกติ หรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1-2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน
- ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่น เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลา แต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน
- ในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์
ประกาศฉบับเต็ม แนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ใหญ่และผู้ป่วยอายุรกรรม ฉบับวันที่ 25 พฤษภาคม 2564
ข้อมูลจาก ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
--------------------
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โควิด-19 : ใครบ้าง ฉีดวัคซีนไม่ได้ ใช่เราหรือเปล่า ?
- สรุปทุกปัญหา “การฉีดวัคซีนโควิด-19” ปลอดภัยไหม? ใครต้องควรระวัง?
- รวม มี โรงพยาบาล เอกชน ที่ไหนบ้าง? เปิดขั้นตอนจองคิวฉีดวัคซีนโควิด
- วิธีการเดินทางไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ “สถานีกลางบางซื่อ” ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
- ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ประกาศ กินยาคุมฉีดวัคซีนโควิดได้และยาอะไรไม่ควรกินก่อนฉีด
- การฉีดวัคซีนโควิด-19 กับผู้ป่วยมะเร็ง ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง