รีเซต

โลกตะวันตกกังวล จีนเสริมสร้างแสนยานุภาพกองทัพอย่างรวดเร็ว

โลกตะวันตกกังวล จีนเสริมสร้างแสนยานุภาพกองทัพอย่างรวดเร็ว
ข่าวสด
23 ธันวาคม 2564 ( 01:15 )
74

ความรุดหน้าด้านเทคโนโลยีขีปนาวุธ อาวุธนิวเคลียร์ และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนกำลังสร้างความหวั่นวิตกอย่างมากให้แก่บรรดาผู้สังเกตการณ์ชาติตะวันตก ซึ่งเชื่อว่ากำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการถ่วงดุลอำนาจด้านการทหารของโลก

 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สั่งการให้ปฏิรูปกองทัพให้ก้าวล้ำนำสมัยภายในปี 2035 โดยกล่าวว่า จีนจะต้องผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางการทหารของโลก ที่มีศักยภาพ "ในการสู้รบและชนะสงคราม" ให้ได้ภายในปี 2049

 

แม้นี่จะเป็นคำปฏิญาณอันใหญ่หลวง แต่จีนก็กำลังมุ่งมั่นไปตามเป้าหมายนี้

ทุ่มงบมหาศาล

บรรดาผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศมักวิจารณ์จีนเรื่อง "ไม่มีความโปร่งใส" ในการเปิดเผยว่าใช้งบประมาณกลาโหมไปมากเพียงใด รวมถึงมีการรายงานตัวเลขที่ไม่สอดคล้องกัน

แม้รัฐบาลจีนจะเผยแพร่ข้อมูลเรื่องงบประมาณกลาโหม แต่ชาติตะวันตกประเมินว่า ตัวเลขจริงของงบประมาณกลาโหมที่จีนใช้มักสูงกว่าตัวเลขที่เปิดเผยออกมามาก

เชื่อกันว่า ปัจจุบันจีนใช้จ่ายด้านกลาโหมมากกว่าทุกประเทศในโลก ยกเว้นเพียงสหรัฐฯ

ศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (Strategic and International Studies) ในกรุงวอชิงตัน ดี ซี ระบุว่า งบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นของจีนสูงแซงหน้าตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ทศวรรษแล้ว

 

 

เพิ่มการสะสมนิวเคลียร์

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประเมินเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาว่า จีนจะมีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น 4 เท่าภายในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ โดยระบุว่าจีนน่าจะตั้งเป้าครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ให้ได้อย่างน้อย 1,000 หัวภายในปี 2030

 

สื่อทางการจีนออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหานี้ว่าเป็น "การคาดการณ์ที่บ้าคลั่งและลำเอียง" พร้อมยืนยันว่า ประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ใน "ขั้นต่ำ"

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute) ในสวีเดน ซึ่งจัดทำและเผยแพร่รายงานการประเมินประจำปีเรื่องการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก ระบุว่า จีนมีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

แม้อาวุธนิวเคลียร์ที่จีนครอบครองอยู่ยังถือว่าห่างไกลจากสหรัฐฯ ที่มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ถึง 5,550 หัว แต่การเร่งสะสมของจีนก็ถูกมองเป็นภัยคุกคามสำหรับชาติมหาอำนาจตะวันตก

 

งบประมาณด้านการทหารของจีนเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

อนาคตเร็วเหนือเสียง

ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (hypersonic missile) เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเสียง 5 เท่า แม้มันอาจไม่เร็วเท่าขีปนาวุธข้ามทวีป แต่ก็ยากที่จะตรวจจับได้ในระหว่างการบิน และอาจเล็ดลอดจากระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศบางชนิดได้

ดร. เซโน ลีโอนี จากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่า "จีนรู้ดีว่าพวกเขายังตามหลังอีกมาก ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามกระโดดแซงหน้าชาติมหาอำนาจอื่น ๆ"

"การพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง คือหนึ่งในหนทางที่จะทำเช่นนั้น" เขาอธิบาย

ที่ผ่านมา จีนได้ปฏิเสธเรื่องการทดสอบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญชาติตะวันตกเชื่อว่ามีการทดสอบขีปนาวุธ 2 ครั้งเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า กองทัพจีนกำลังจะประจำการอาวุธชนิดนี้

 

อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าจีนกำลังพัฒนาขีปนาวุธระบบใด จาก 2 ชนิดนี้ คือ

  • ขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียงที่อยู่ในชั้นบรรยากาศโลก
  • ระบบยิงขีปนาวุธจากวงโคจร (Fractional Orbital Bombardment System หรือ FOBS) ซึ่งจะบินอยู่ในวงโคจรระดับต่ำของโลก ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วมุ่งสู่เป้าหมาย

 

อาจเป็นไปได้ที่จีนอาจประสบความสำเร็จในการรวมเอาเทคโนโลยีทั้งสองระบบเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือการยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงมาจากยานอวกาศ FOBS

 

ดร. ลีโอนี ระบุว่า แม้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ที่จะพลิกโฉมหน้าการต่อสู้ แต่ก็ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินต้องเผชิญความยากลำบากเป็นพิเศษในการป้องกันตัวเองจากการโจมตี

 

อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่า เจ้าหน้าที่ชาติตะวันตกอาจแสดงความวิตกเกินจริงเกี่ยวกับขีปนาวุธชนิดนี้ของจีน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขอเพิ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านการทหาร

 

"ภัยคุกคามมีอยู่จริง แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่านี่กำลังถูกขยายความจนเกินจริง"

 

ปัญญาประดิษฐ์ และการโจมตีไซเบอร์

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า ปัจจุบันจีนกำลังมุ่งพัฒนาการทำ "สงครามอัจฉริยะ" (intelligentised warfare) หรือการรบแห่งโลกอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)

 

สถาบันวิทยาศาสตร์การทหารของจีนได้รับมอบหมายให้บรรลุเป้าหมายนี้ ผ่านความร่วมมือระหว่างกองทัพกับบริษัทเทคโนโลยีด้านการทหารของเอกชน

 

มีรายงานว่า จีนอาจเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเอไอกับหุ่นยนต์ทางการทหาร และระบบนำทางขีปนาวุธ ตลอดจนอากาศยาน และเรือไร้คนขับ

 

การประเมินของผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันระบุว่า จีนได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ต่อต่างชาติแล้ว

 

เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) กล่าวหาว่าจีนได้โจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่มุ่งเป้าต่อเซิร์ฟเวอร์บริการ Microsoft Exchange ของบริษัทไมโครซอฟท์

 

เชื่อกันว่าการโจมตีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกอย่างน้อย 30,000 องค์กร โดยมีเป้าหมายในการโจรกรรมข้อมูล ซึ่งรวมถึงการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา

 

กองทัพเรือใหญ่ที่สุด แต่ไม่ได้ทรงอิทธิพลที่สุด

แม้จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในการมีกองทัพเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การประเมินเช่นนี้ไม่อาจบ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการรบได้เสมอไป

ปัจจุบันสหรัฐฯ ถือว่าเป็นชาติที่มีขีดความสามารถด้านการทหารเรือมากที่สุดในโลก โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 11 ลำ ในขณะที่จีนมีอยู่เพียง 2 ลำ นอกจากนี้ยังมีจำนวนเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ เรือลาดตระเวน และเรือพิฆาตมากกว่า

แต่จีนก็ตั้งเป้าจะขยายกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อต่อกรกับการยั่วยุทางทะเลของสหรัฐฯ

กองทัพเรือสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ระหว่างปี 2020 - 2040 กองทัพเรือจีนจะมีเรือเพิ่มขึ้นเกือบ 40%

 

 

อนาคตที่ไม่แน่นอน

จีนจะเปลี่ยนจุดยืนจากการไม่เผชิญหน้า ไปเป็นการแสดงท่าทีข่มขู่และคุกคามมากขึ้นหรือไม่

ดร. ลีโอนี ระบุว่า สำหรับตอนนี้ แนวทางของจีนยังคงเป็น "การชนะโดยไม่ต้องสู้รบ" แต่เขาก็คิดว่าจีนอาจเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ในอนาคต

"การเป็นมหาอำนาจทางกองทัพเรือที่ทันสมัย อาจเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ" เขากล่าว

แต่ พันเอก โจว โป อดีตนายทหารบกของกองทัพจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาลัยชิงหวา ในกรุงปักกิ่ง ระบุว่า ความหวั่นวิตกของชาติตะวันตกนั้นเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ และไม่มีมูลความจริง

เขาชี้ว่า จีนไม่ได้มีเป้าหมายในการเป็น "ผู้พิทักษ์ความสงบสุขของโลก" แบบสหรัฐฯ และแม้จีนจะมีความแข็งแกร่งทางการทหารมากกว่าในอนาคต แต่ก็จะคงนโยบายพื้นฐานเอาไว้ตามเดิม

จีนไม่ได้ทำสงครามมาตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งเป็นตอนที่รบกับเวียดนาม ดังนั้นจึงยังไม่เคยมีการทดสอบขีดความสามารถด้านการทหารต่าง ๆ ในสนามรบจริง

ซึ่งทั้งชาติตะวันตก และจีนต่างหวังว่ามันจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง