รีเซต

วิกฤตเหลื่อมล้ำ รวย-จน คนอังกฤษ สูงสุดรอบ 15 ปี ฉุดคะแนนนิยมรัฐบาล

วิกฤตเหลื่อมล้ำ รวย-จน คนอังกฤษ สูงสุดรอบ 15 ปี ฉุดคะแนนนิยมรัฐบาล
TNN ช่อง16
15 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
14

วิกฤตความ "เหลื่อมล้ำ"  ระยะห่างรวย-จน คนอังกฤษ สูงสุดรอบ 15 ปี


เก็บเงินทั้งชีวิตก็ไม่รวย?  วิกฤตความเหลื่อมล้ำหนักในประเทศอังกฤษ มีช่องว่างระหว่างคนรวย คนจน สูงสุดในรอบ 15 ปี ความมั่งคั่งกระจุกตัวในกลุ่มคนที่มีบ้านและผู้สูงวัย


มีใครบ้างที่กำลังทำงานอย่างหนักเพราะหวังจะเป็นเศรษฐี แต่ฟังข่าวนี้แล้วอาจจะใจสลายใจได้ เพราะมีข้อมูลยืนยันว่าต่อให้เราทำงานหนักเก็บเงินแค่ไหนก็ไม่มีทางรวยขึ้นมาได้ในประเทศอังกฤษ อ้างอิงจากรายงานฉบับใหม่ของสถาบันวิจัย Resolution Foundation ที่รายงานโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก  ได้เปิดเผยวิกฤตความเหลื่อมล้ำในอังกฤษ ที่ระบุว่า คนอังกฤษจะต้องทำงานหนักกว่า 52 ปี ถึงแตะไปถึงระดับกลุ่มมั่งคั่งได้ 


รายงานได้วิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นทางการในช่วงปี 2563–2565 พบว่าพนักงานประจำทั่วไปในสหราชอาณาจักร ถ้าอยากจะขยับขึ้นไปเป็นคนรวยหรือกลุ่มมั่งคั่ง จำเป็นต้องออมรายได้ตลอด 52 ปี ถึงจะเป็นไปได้ 


นอกจากนี้ในแง่ของตัวเงิน ช่องว่างระหว่างคนระดับกลางกับกลุ่ม 10% ที่ร่ำรวยที่สุด ก็ถ่างออกไปอีก ขยายขึ้นไปเกือบ 25% หรือประมาณ 1.3 ล้านปอนด์ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น


Molly Broome นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Resolution Foundation ระบุว่า คนที่เกิดมามีฐานะมักจะรวยต่อไป ส่วนคนจนก็มักยังจนเหมือนเดิม ช่องว่างของฐานะในอังกฤษที่เกิดขึ้นนี้น่ากังวลเป็นสองเท่า เพราะการขยับฐานะเป็นไปได้ยาก หรือเรียกว่าการเคลื่อนย้ายทางความมั่งคั่ง (wealth mobility) อยู่ในระดับที่ต่ำมาก 


รายงานยังชี้ให้เราเห็นอีกด้วยว่าคนที่รวยขึ้นส่วนใหญ่ มาจากราคาบ้านและมูลค่ากองทุนบำเหน็จบำนาญที่สูงขึ้น นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา และปรากฎว่าผลประโยชน์ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มผู้สูงวัยที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไปซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่ และตอกย้ำความต่างระหว่างเมืองหลวง-ต่างจังหวัด ซึ่งแนวโน้มนี้ได้เร่งตัวขึ้นมากในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เพราะเจ้าของสินทรัพย์กลับร่ำรวยขึ้น ในขณะที่คนไม่มีทรัพย์สินกลับไม่เห็นความมั่งคั่งเพิ่มเลย


ความเหลื่อมล้ำจะแก้ได้อย่างไร หลายประเทศเลือกใช้มาตรการภาษี และสำหรับอังกฤษเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ตัดสินใจไม่ง่าย  คนอังกฤษเริ่มมออกมาเรียกร้องเรื่อง “ภาษีความมั่งคั่ง” (wealth tax) ขณะที่รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ราเชล รีฟส์ เปิดเผยว่า ยังไม่มีแผนเก็บภาษีดังกล่าว ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรัฐบาลต้องหาเงินมาอุดช่องโหว่งบประมาณ ขณะที่ ผลสำรวจของ YouGov เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการเก็บภาษีความมั่งคั่ง


แต่อย่างไรก็ตามภาษีลักษณะนี้เวลาออกมาแล้ว มักจะไปกระทบต่อผู้สูงอายุและเจ้าของบ้านในภาคใต้มากกว่ากลุ่มมหาเศรษฐีในเมือง เนื่องจากทรัพย์สินหลักกว่า 80% ของความมั่งคั่งในครัวเรือน รวมทั้งหมด 17 ล้านล้านปอนด์ อยู่ในรูปของที่อยู่อาศัยและเงินบำนาญ


และที่ผ่านมาการเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ โควิด-19  คือ ตัวกดดันตัวเร่ง เพราะคนรวยก็ยิ่งรวยมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นยุคโควิด ความมั่งคั่งรวมของครัวเรือนอังกฤษพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7.5 เท่าของ GDP ในปี 2563–2565 จากระดับเพียง 3 เท่าของ GDP ในช่วงปี 1980 เนื่องจากรัฐบาลออกมาตรการพยุงรายได้ และประชาชนมีโอกาสใช้จ่ายน้อยลงจากการล็อกดาวน์


ประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด รายงานพบว่ากลุ่มรายได้สูงสุด 20% มีเงินออมเพิ่มเฉลี่ย 4,200 ปอนด์ ในช่วงโควิด ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยที่สุดออมได้เพียง 80 ปอนด์ เท่านั้น ขณะที่คนในกลุ่มล่างสุดประมาณ 10% ของระบุว่าเงินออมของพวกเขาลดลงถึง 4,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นอัตราการลดลงมากกว่าสองเท่าก่อนเกิดโควิด


และความเหลื่อมล้ำที่ได้ขยายกว้างออกไปในอังกฤษ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงซบเซา ซึ่งการใช้จ่ายนี้คิดเป็น 60% ของ GDP  จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ภาพรวมเงินออมในประเทศจะสูง แต่ก็ยังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยง 2 ด้าน คือภาวะเศรษฐกิจถดถอย กับความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะฝังราก


รายงานที่ออกมาครั้งนี้ยังทำให้เราได้เห็นว่าชนชั้นทางสังคมยังคงมีผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของคน  โดยชนชั้นแรงงานอังกฤษ เกือบ 80% ไม่สามารถจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือขยับขึ้นหรือลงมากกว่าหนึ่งขั้นของลำดับความมั่งคั่งภายในระยะเวลา 4 ปี เพราะขาดโอกาสเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจ (social mobility)


และสิ่งที่ห่วง คือ คนรุ่นใหม่กลับต้องเจอกับความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างคนวัย 30 ต้น ๆ กับคนวัย 60 ต้น ๆ อยู่ที่ประมาณ 310,000 ปอนด์ ในช่วงปี 2563–2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังวิกฤติการเงินโลก 


พื้นที่ที่หนักที่สุด ก็คือ ลอนดอน ในเชิงภูมิศาสตร์ ลอนดอน คือพื้นที่ที่มีช่องว่างความมั่งคั่งรุนแรงที่สุด โดยครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดมีทรัพย์สินต่อหัวมากกว่าครอบครัวระดับกลางถึง 12 เท่า มากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ

ความเหลื่อมล้ำ มีผลต่อปากท้อง และสะเทือนไปถึงเศรษฐกิจทั้งประเทศ และแน่นอนว่ามีผลต่อคะแนนนิยมทางการเมืองด้วย และเป็นหนึ่งในปัญหาที่อาจจะทำให้การเมืองของอังกฤษเปลี่ยนขั้ว จากผู้นำของอังกฤษคนปัจจุบันนี้ ที่มาจากพรรคแรงงาน ไปสู่พรรคขวาจัด รีฟอร์มยูเค


CNBC รายงานว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาเตือนว่า ประเทศกำลังเผชิญ “ทางเลือกแห่งอนาคต” ระหว่างการฟื้นฟูหรือการเสื่อมถอย ข้อความนี้ถูกส่งออกจากเวทีประชุมใหญ่พรรคแรงงานที่เมืองลิเวอร์พูล ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความกังวล ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และคะแนนนิยมทางการเมืองที่ลดต่ำลงต่อเนื่อง 


สำหรับคำปราศรัยครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พรรคแรงงานของสตาร์เมอร์กำลังเผชิญแรงกดดันจากพรรคขวาจัด “รีฟอร์มยูเค” (Reform UK) ของไนเจล ฟาราจ ที่คะแนนนิยมทะยานขึ้นจากกระแสต่อต้านการอพยพผิดกฎหมายและนโยบายชาตินิยม ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชนบางส่วนที่เห็นว่ารัฐบาลอังกฤษยังจัดการปัญหาชายแดนและแรงงานต่างด้าวไม่เด็ดขาดพอ 


ในด้านเศรษฐกิจ อังกฤษกำลังเผชิญสัญญาณของการเติบโตที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ข้อมูลล่าสุดจาก Investing.com และสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) ยืนยันว่า เศรษฐกิจประเทศเติบโตเพียง 0.3% ในไตรมาสที่สองของปี 2025 ลดลงจากไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเติบโตเมื่อเทียบรายปีอยู่ที่ 1.4% แม้สูงกว่าการประมาณการเบื้องต้นเล็กน้อย แต่ยังสะท้อนถึงภาวะซบเซาของอุปสงค์ภายในประเทศ


การเติบโตที่ชะลอตัวนี้ไปเพิ่มแรงกดดันต่อ เรเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  เธอเคยให้คำมั่นว่าจะยึดมั่นในวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาษีที่กระทบชนชั้นทำงาน แต่ภายใต้ภาวะขาดดุลการคลังและรายได้ภาษีที่ลดลง รัฐบาลในนามพรรคแรงงานอาจถึงเวลาหรือจำเป็นต้องเพิ่มอัตราภาษีบางอย่าง แต่ก็จะเสี่ยงต่อการผิดคำพูดที่เคยหาเสียงเอาไว้ 


ก่อนหน้านี้รีฟส์ได้ถูกวิพากษ์อย่างหนักจากภาคธุรกิจ ที่รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีในปีก่อนสูงกว่า 40,000 ล้านปอนด์ และสร้างภาระต่อภาคอุตสาหกรรมและการจ้างงานอย่างมาก ทำให้การลงทุนชะลอตัวและกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและบริการทางการเงินซึ่งเป็นจุดแข็งของอังกฤษมานาน


สัญญาณเตือนทางการเมืองชัดเจนขึ้นเมื่อผลสำรวจล่าสุดของ YouGov ระบุว่า พรรคแรงงานมีคะแนนนิยมลดลงเหลือเพียง 21% จากระดับ 34% ในการเลือกตั้งปี 2024 ในขณะที่ Reform UK ขึ้นมาแตะ 27% ซึ่งหมายความว่าหากมีการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ พรรคของไนเจล ฟาราจอาจกลายเป็นรัฐบาลใหม่ทันที

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง