รีเซต

โทษประหารชีวิตในประเทศไทย มรดกทางกฎหมายที่ยังคงถกเถียง

โทษประหารชีวิตในประเทศไทย มรดกทางกฎหมายที่ยังคงถกเถียง
TNN ช่อง16
21 พฤศจิกายน 2567 ( 13:49 )
11

โทษประหารชีวิตในไทย: เส้นทางการลงทัณฑ์สูงสุดจากอดีตถึงปัจจุบัน


เมื่อพูดถึงบทลงโทษสูงสุดของกระบวนการยุติธรรมไทย "โทษประหารชีวิต" ยังคงดำรงอยู่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยในปี 2567 ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งใน 53 ประเทศที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ ขณะที่เพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างกัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษนี้ไปแล้ว ส่วนลาวและบรูไนแม้จะมีในกฎหมายแต่ไม่มีการบังคับใช้


ย้อนกลับไปในอดีต วิธีการประหารชีวิตของไทยมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจ ในสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการประหารชีวิตหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเผาทั้งเป็น การตัดศีรษะ ไปจนถึงวิธีพิเศษสำหรับเชื้อพระวงศ์ที่เรียกว่า "การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์" จนกระทั่งปี 2478 ได้มีการเปลี่ยนมาใช้การยิงเป้า และล่าสุดในปี 2546 ได้เปลี่ยนเป็นการฉีดยา เพื่อให้สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมสากล


สถิติที่น่าสนใจคือ นับตั้งแต่ปี 2478 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกประหารชีวิตในประเทศไทยรวม 326 คน แบ่งเป็นการยิงเป้า 319 คน และการฉีดยา 7 คน โดยในเดือนมกราคม 2567 กรมราชทัณฑ์รายงานว่ายังมีผู้ต้องขังที่รอการประหารชีวิตอยู่ในเรือนจำอีก 325 คน 


กระบวนการประหารชีวิตในปัจจุบันที่ใช้วิธีการฉีดยา มีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนและรัดกุม เริ่มจากการฉีดยาสามชนิดตามลำดับ ชนิดแรกคือโซเดียมไธโอเพนทัลหรือโปรโพฟอล ทำให้ผู้ต้องโทษหมดสติ ตามด้วยแพนคูโรเนียมโบรไมด์ ที่ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวจนหยุดหายใจ และสุดท้ายคือโพแทสเซียมคลอไรด์ ที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ภายใต้การควบคุมของแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ


ในแง่ของกฎหมาย ประเทศไทยกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดร้ายแรง 35 ประเภท โดยเฉพาะคดีฆาตกรรม การค้ายาเสพติด และการกบฏ ทุกคดีต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบจากศาลหลายชั้น และผู้ต้องโทษมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ฎีกา รวมถึงขอพระราชทานอภัยโทษได้


ก่อนการประหารชีวิต ผู้ต้องโทษจะได้รับสิทธิขั้นสุดท้าย เช่น การรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย การเขียนจดหมายหรือทำพินัยกรรม การติดต่อญาติ และการประกอบพิธีทางศาสนาตามความเชื่อของตน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาความเป็นมนุษย์แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต


อย่างไรก็ตาม โทษประหารชีวิตยังคงเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงในสังคมไทย ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการลงโทษที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับอาชญากรรมร้ายแรง อีกทั้งยังช่วยยับยั้งอาชญากรรม ในขณะที่ฝ่ายค้านและองค์กรสิทธิมนุษยชนเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้จริง


ท่ามกลางกระแสโลกที่หลายประเทศเริ่มยกเลิกโทษประหารชีวิต สังคมไทยกำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า เราจะยังคงรักษาบทลงโทษนี้ไว้หรือควรมองหาทางเลือกอื่นในการลงโทษผู้กระทำผิด โดยคำนึงถึงทั้งความยุติธรรม ประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปพร้อมกัน



ภาพ Freepik 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง