ปัดฝุ่นสงครามยาเสพติด ยุคทรัมป์แข็งกร้าวกว่าเดิม ขยายศึกข้ามภูมิภาค

เป็นเวลากว่า 50 ที่อดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐฯ ประกาศทำสงครามยาเสพติด หวังกวาดล้างยานรกเหล่านี้ให้หมดไปจากโลก
แต่จนถึงทุกวันนี้ ปัญหายาเสพติดไม่ได้หายไป กลับมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น กลายเป็นปัญหาระดับโลก
ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงหันกลับมาต่อสู้กับสงครามยาเสพติดในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ครั้งนี้ ดุเดือด แข็งแกร่ง และยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
“ทรัมป์” ปัดฝุ่นเริ่มสงครามยาเสพติด
ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนสงครามยาเสพติด ให้กลายเป็นปัญหาทางการเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศมากขึ้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านอาชญากรรมเท่านั้น
ช่วงแรกทรัมป์มุ่งเป้าไปที่ “เฟนทานิล” ยาเสพติดสังเคราะห์จากจีน ซึ่งตอนนี้ เป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตจากการได้รับยาเกินขนาดมากที่สุด แต่ภายหลังเขาก็เปลี่ยนไปโฟกัสที่ “โคเคน” ซึ่งเป็นหนึ่งในยาเสพติดที่เก่าแก่ และเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของโลก
ตามรายงานของ UN ระบุว่า การผลิตโคเคนทั่วโลก เติบโต 1 ใน 3 ในปี 2023 หรือมากกว่า 3,700 ตัน และมีคนใช้โคเคนประมาณ 25 ล้านคนทั่วโลก
รัฐบาลสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่า จะทำลายห่วงโซ่อุปทานยาเสพติดตั้งแต่รากถึงโคน พร้อมจะร่วมมือ หรือ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเรียกร้องประเทศต้นทางของยาเสพติดให้รับผิดชอบ
หนึ่งสิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเลย คือ การที่สหรัฐฯ ปฏิบัติกับแก๊งค้ายาขนาดใหญ่ เป็นดั่ง “กลุ่มก่อการร้าย”
นั่นหมายความว่า รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถยึดทรัพย์, อายัดเงิน และออกมาตรการคว่ำบาตรกับใครก็ตามที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้ หรือแม้กระทั่งจะเปิดปฏิบัติการทางทหารกับพวกเขาก็ย่อมทำได้เช่นกัน
ขยายศึกนอกภูมิภาค
การประกาศสู้ศึกสงครามยาเสพติดครั้งนี้ของทรัมป์ ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่มันได้ขยายตัวออกสู่ภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะลาตินอเมริกา
นอกจากการติดป้ายให้แก๊งค้ายาเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” แล้ว รัฐบาลทรัมป์ยังเพิกถอนการรับรองประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติด ได้แก่ โคลัมเบีย, เวเนซุเอลา และโบลิเวีย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกดดันทางการทูต ผ่านการตัดความช่วยเหลือทางการเงิน การทบทวนข้อตกลงการค้า และการจำกัดความร่วมมือด้านความมั่นคง
มองว่า ประเทศเหล่านี้ ล้มเหลวในการปฏิบัติตามพันธกรณีปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะประธานาธิบดีโคลัมเบีย ที่ถึงขั้นถูกทรัมป์กล่าวหาว่า เป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติด
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกก็กำลังตึงเครียดเช่นกัน หลังประธานาธิบดีหญิงเม็กซิโกปฏิเสธปฏิบัติการทางทหารสหรัฐฯ ในเม็กซิโก เพื่อช่วยเหลือภารกิจต่อต้านแก๊งค้ายาเสพติด โดยชี้ว่า การกระทำทางทหารเพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ จะเป็นการละเมิดอธิปไตย และช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอก็ได้ส่งตัวสมาชิกแก๊งค้ายาหลายคนให้สหรัฐอเมริกาดำเนินคดี
เกมการเมืองโลกมากกว่าปราบจริง ?
แม้จะดูแข็งกร้าว จริงจังกับการปราบปรามยาเสพติด แต่การรื้อฟื้นสงครามยาเสพติดรอบนี้ของสหรัฐฯ กลับดูเหมือนว่า เป็น “ยุทธศาสตร์ทางการเมืองระดับภูมิภาค” มากกว่าเป็น “นโยบายปราบปรามยาเสพติด” จริง ๆ
การโจมตีเรือต้องสงสัยลักลอบขนยาเสพติดจากเวเนซุเอลาของสหรัฐฯ ยิ่งสร้างความกังวลแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมองว่า การกระทำสหรัฐฯ อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือ อธิปไตยของพวกเขา
จากมุมมองของกลุ่มนักสังเกตการณ์ในภูมิภาคลาตินอเมริกา ชี้ว่า การปัดฝุ่นสงครามยาเสพติดของทรัมป์ ดูเหมือนเป็นการขยายอำนาจ และอิทธิพลสหรัฐฯ มากกว่า การต่อต้านแก๊งอาชญากร
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทำให้สหรัฐฯ ได้แสดงอำนาจ, กดดันพันธมิตร ให้เดินตามรอย และพร้อมจะลงโทษใครก็ได้ หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างความไม่พอใจ และไม่ไว้วางใจในหมู่พันธมิตรด้วยเช่นกัน
แม้จัดการเด็ดขาด แต่ยาเสพติดไม่ลด
คำถามต่อมาคือ แล้วการที่สหรัฐฯ กระทำแบบนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ปัญหายาเสพติดหายไปไหม คำตอบคือ ไม่
เพราะแม้จะมีการพูดคุย หรือ ดำเนินการขั้นเด็ดขาด แต่ขนาดตลาดยาเสพติด โดยเฉพาะโคเคนไม่ได้เล็กลง
ข้อมูลล่าสุดจาก UNODC ชี้ว่า การผลิต, ยึด และเสพโคเคนพุ่งสูงขึ้นแตะเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าจะมีการปราบปรามจริงจัง ก็ไม่สามารถยุติการค้ายาได้ แต่ผลักให้กลุ่มอาชญากรหาวิธีใหม่ หรือ พื้นที่ใหม่ เพื่อดำเนินธุรกิจได้อยู่ดี
การวิจัย ชี้ว่า ความต้องการยาเสพติดลดลงไม่มากนัก แม้ว่า ราคาจะสูงขึ้นก็ตาม นั่นหมายความว่า แก๊งค้ายาก็ยังคงทำเงินได้อยู่
โวล์คเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่ง UN กล่าวว่า การทำให้ยาเสพติดเป็นอาชญกรรม และห้ามใช้ ไม่ได้ช่วยลดการเสพหรืออาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง นโยบายสงครามยาเสพติดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เติร์ก ได้แนะนำให้เปลี่ยนจากการลงโทษ หันไปเป็นการดูแลเอาใจใส่ด้านสุขภาพ การศึกษา และการมีส่วนร่วมแทน เช่น ยกเลิกความผิดทางอาญาในการใช้ยาเสพติด, เสนอการรักษาพยาบาลโดยสมัครใจ เป็นต้น
เมื่อรัฐบาลหลายประเทศให้ความสำคัญเปลี่ยนจากการคุมขังพวกเขา ไปเน้นการรักษาแทน การใช้ยาเสพติดก็จะลดลง ปัญหายาเสพติดก็จะถดถอยตามลงไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
https://americasquarterly.org/article/geopolitics-war-on-drugs/
https://www.washingtonpost.com/national-security/2025/11/01/trump-venezuela-war-drugs-law/
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
