หนี้ครูไทยพุ่ง 1.4 ล้านล้านบาท รัฐตั้ง “สหกรณ์กลาง” ลดดอกเบี้ย–คุมหักเงินเดือน

วิกฤตหนี้ครูไทยเดือนพฤศจิกายน 2568
วิกฤตหนี้ครูไทยกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2568 หลังจากครูกว่า 300 คนในจังหวัดน่านออกมารวมตัวยื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล ขอให้มีมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่สะสมมายาวนานและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง ปัจจุบันยอดหนี้ครูทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท โดยมีครูที่มีหนี้ราว 80% ของจำนวนครูทั้งหมด หรือกว่า 7.2 แสนคน เฉลี่ยครูแต่ละคนมีหนี้สูงถึง 1.94 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเงินเดือนทั้งปีของครูหลายราย
ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่า ครูจำนวนมากมีเงินคงเหลือหลังหักชำระหนี้เพียงร้อยละ 30 ของรายได้ หรือในบางกรณีเหลือเงินใช้จ่ายเพียง 2,000–4,500 บาทต่อเดือน ขณะที่จำนวนครูที่ถูกฟ้องล้มละลายมีมากกว่า 5,000 ราย หลายคนต้องออกจากราชการ และบางส่วนประสบปัญหาสุขภาพจากความเครียดสะสม เช่น โรคหลอดเลือดสมองและภาวะซึมเศร้า
เจ้าหนี้หลักและโครงสร้างหนี้
เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของครูคือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งถือหนี้อยู่ประมาณ 8.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 64 ของหนี้ทั้งหมด รองลงมาคือ ธนาคารออมสิน (GSB) ที่ปล่อยกู้ราว 3.9 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 28 ของหนี้ รวมถึงธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ เช่น กรุงไทยและธอส. ที่ปล่อยกู้รวมกันประมาณ 6.1–6.3 แสนล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยระหว่างร้อยละ 5.6–7.1 ต่อปี
ประเด็นที่สร้างภาระหนักให้ครูคือกฎหมายอนุญาตให้สหกรณ์สามารถหักเงินเดือนของครูได้สูงสุดร้อยละ 70 ของรายได้ หมายความว่าหากครูมีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน อาจถูกหักไปถึง 10,500 บาท เหลือเพียง 4,500 บาทในการดำรงชีพต่อเดือน และในหลายกรณีหลังจากถูกหักจากสหกรณ์แล้ว ครูยังต้องจ่ายหนี้ธนาคารหรือสินเชื่ออื่น ๆ เพิ่มเติม ทำให้เกิดภาระหนี้ซ้ำซ้อนที่แทบไม่สิ้นสุด
การเคลื่อนไหวของครูจังหวัดน่าน
เมื่อวันที่ 3–4 พฤศจิกายน 2568 ครูและครูบำนาญจังหวัดน่านกว่า 300 คนได้รวมตัวกันเพื่อร้องขอให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างจริงจัง โดยระบุว่ามีครูและครูบำนาญ 61 คนที่อยู่ในภาวะวิกฤต ถูกฟ้องร้องบังคับคดีและยึดทรัพย์สิน บางรายเหลือรายได้ต่อเดือนเพียงหลักพันบาทหลังจากหักหนี้แล้ว
หนึ่งในกรณีที่ได้รับความสนใจคือ ครูละเอียด กำบังตน อายุ 67 ปี อดีตผู้ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “หนึ่งแสนครูดี” ป่วยจากภาวะหลอดเลือดสมองแตก ต้องนอนรักษาตัวกว่า 4 เดือน ขณะเดียวกันยังถูกธนาคารฟ้องบังคับคดี ปัญหาหนี้สินจึงกลายเป็นทั้งวิกฤตทางการเงินและสุขภาพของครูทั่วประเทศ กลุ่มครูในจังหวัดน่านได้เสนอแนวทางแก้ไขหลายข้อ เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสม ตั้งกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉิน และส่งเสริมโครงการดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของครูที่ได้รับผลกระทบ
มาตรการใหม่ของรัฐบาล
รัฐบาลโดย ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครูชุดใหม่ โดยจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง สกสค.” เพื่อรวมหนี้ครูจากสหกรณ์ทั่วประเทศเข้าสู่ระบบเดียวกัน ให้ครูสามารถโอนหนี้มาปรับโครงสร้างใหม่ ลดดอกเบี้ยและขยายเวลาชำระหนี้
อัตราดอกเบี้ยในโครงการสหกรณ์กลางถูกออกแบบให้ลดลงแบบขั้นบันได โดยปีแรกดอกเบี้ย 0% ปีที่สอง 1% ปีที่สาม 2% ปีที่สี่ 3% และหลังจากนั้นไม่เกิน 4% ต่อปี รัฐบาลเตรียมใช้งบประมาณอุดหนุนดอกเบี้ยรวม 6,000 ล้านบาท สำหรับหนี้ที่จะโอนเข้ามาในระยะแรกประมาณ 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังได้สั่งการให้สถาบันการเงินทุกแห่งปฏิบัติตามเพดานการหักเงินเดือนร้อยละ 70 อย่างเคร่งครัด และสนับสนุนการรีไฟแนนซ์หนี้เพื่อให้ครูมีเงินเหลือใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น อีกทั้งยังมีโครงการซ่อมแซมบ้านพักครูทั่วประเทศกว่า 14,900 หลังจากทั้งหมด 41,000 หลัง เพื่อช่วยลดภาระรายจ่ายประจำและยกระดับคุณภาพชีวิต
แม้มาตรการของรัฐบาลถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการลดภาระหนี้ครู แต่ปัญหารากเหง้ายังคงซับซ้อน สาเหตุของหนี้ครูไม่ได้มาจากความฟุ่มเฟือยเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากระบบสินเชื่อที่เปิดกว้างมากเกินไป ครูถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ชั้นดี ทำให้เข้าถึงเงินกู้ได้ง่ายและจำนวนมาก นอกจากนี้ การแข่งขันระหว่างเจ้าหนี้ เช่น สหกรณ์ครูกับธนาคารออมสิน ยังทำให้เกิดการปล่อยกู้ซ้ำซ้อน
การขาดความรู้ด้านการบริหารการเงินส่วนบุคคลก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ การสำรวจของ Kenan Foundation Asia ระบุว่า ร้อยละ 67 ของครูมีทัศนคติเชิงบวกต่อการเป็นหนี้ และเชื่อว่าหนี้ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการส่งเสริมทักษะทางการเงินอย่างจริงจัง
บทสรุปและแนวทางข้างหน้า
วิกฤตหนี้ครูไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เชื่อมโยงทั้งระบบการเงิน การบริหารภาครัฐ และคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบวิชาชีพครู มาตรการของรัฐบาลในการจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง สกสค.” ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผ่อนภาระหนี้ระยะสั้นผ่านการลดดอกเบี้ยและรวมโครงสร้างหนี้ให้อยู่ภายใต้ระบบเดียว แต่ในระยะยาว จำเป็นต้องพัฒนา “วินัยทางการเงิน” ของครู ส่งเสริมความรู้ด้านการจัดการหนี้ และป้องกันไม่ให้เกิดการกู้ซ้ำซ้อนอีก
ความสำเร็จของการแก้ปัญหาครั้งนี้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการเงิน และตัวครูเอง เพื่อให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคง และสามารถกลับมาทุ่มเทให้กับการสร้างอนาคตของเยาวชนไทยได้อย่างเต็มที่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
