การวิจัยชี้ คนที่สักซ้ำหลายครั้ง อาจเสี่ยงเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่า

ทีมวิจัยจาก Huntsman Cancer Institute และ University of Utah ได้ทำการศึกษาในกลุ่มประชากรกว่า 7,000 คนในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการสักกับความเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในปี 2025 นี้
พบว่า ผู้ที่มีรอยสักหลายครั้ง (4 ครั้งขึ้นไป) มีความเสี่ยงต่อการเกิดเมลาโนมาต่ำกว่าผู้ที่ไม่เคยสักเลย
ผู้ที่มีรอยสักเพียงครั้งเดียว กลับมีแนวโน้มความเสี่ยงสูงขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะมะเร็งระยะเริ่มต้น (melanoma in situ)
เมื่อดูภาพรวมว่า “เคยสักหรือไม่” อย่างเดียว ไม่พบความแตกต่างชัดเจน
นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่า รอยสักอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานมากขึ้น หรือรอยสักอาจช่วยลดการซึมผ่านของรังสี UV เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่ได้พิสูจน์แน่ชัด
ยังมีปัจจัยอื่นที่ไม่ได้เก็บข้อมูล เช่น พฤติกรรมการใช้ครีมกันแดด การใช้ชีวิตกลางแจ้ง สีผิว และประวัติครอบครัว ซึ่งอาจมีผลต่อความเสี่ยงมะเร็งเช่นกัน
ข้อจำกัดของงานวิจัย
งานวิจัยเป็นเพียง ความสัมพันธ์เชิงสถิติ ไม่ได้ยืนยันสาเหตุ
ข้อมูลส่วนใหญ่ได้จากแบบสอบถาม ซึ่งอาจคลาดเคลื่อน
ศึกษาเฉพาะประชากรในรัฐยูทาห์ ทำให้ไม่สามารถสรุปแทนประชากรทั่วโลกได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้มีรอยสัก
แม้งานวิจัยจะพบแนวโน้มที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการสักช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ผู้ที่มีรอยสักยังต้องดูแลสุขภาพผิวเหมือนทุกคน โดยเฉพาะการป้องกันเมลาโนมา ซึ่งรวมถึง
ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
ตรวจสอบผิวหนังและรอยสัก หากพบไฝหรือจุดที่เปลี่ยนแปลง ควรรีบพบแพทย์
มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาคืออะไร?
เมลาโนมาเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของ เมลาโนไซต์ (melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว (เมลานิน) โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในบริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น ใบหน้า แขน ขา หรือแม้แต่ในบริเวณที่แทบไม่ได้โดนแดด เช่น ฝ่าเท้า หรือเล็บ
สิ่งที่ทำให้เมลาโนมาอันตราย คือมีแนวโน้ม ลุกลามและแพร่กระจายเร็ว ไปยังอวัยวะอื่น หากตรวจพบช้าอาจรักษายาก ต่างจากมะเร็งผิวหนังชนิดอื่นที่มักโตช้ากว่า
สัญญาณที่ควรระวังคือการเปลี่ยนแปลงของไฝหรือจุดด่างดำบนผิว เช่น ขอบไม่สมมาตร สีไม่สม่ำเสมอ ขนาดใหญ่ขึ้น รูปร่างหรือสีเปลี่ยนแปลงไป การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากรักษาทันเวลา โอกาสหายสูงกว่ามาก