ภัยพิบัติจากโลกร้อน ท้าทายเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกชี้ต้องเร่งปรับตัว

ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่ รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย (Thailand Country Climate and Development Report) วิเคราะห์ความสามารถของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจตลอดหลายทศวรรษ เปลี่ยนผ่านจากเกษตรกรรมสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและส่งออก ระหว่างปี 2523-2562 GDP เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่ยังตามหลังเวียดนาม การพัฒนาประเทศยังเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการลงทุนชะลอตัว การเปลี่ยนผ่านสู่กิจกรรมมูลค่าเพิ่มช้า การกีดกันทางการค้า และการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว
รายงานเตือนว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่เสี่ยงน้ำท่วมสูงสุดในโลก ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีประชากรร้อยละ 40 และคิดเป็นร้อยละ 78 ของแรงงาน รวมร้อยละ 66 ของ GDP เสี่ยงน้ำท่วมรุนแรงเพิ่มขึ้น กรณีน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เคยสร้างความเสียหายคิดเป็นร้อยละ 12.6 ของ GDP
นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ และการกัดเซาะชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรม การผลิต และการท่องเที่ยว ชายฝั่งร้อยละ 30 เสี่ยงกัดเซาะ สูญเสียพื้นที่มูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และอาจสูญเสียเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ในภาคการท่องเที่ยว หากไม่มีมาตรการรับมือภายในกลางทศวรรษ 2040
และไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปี 6.3 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 ระหว่างปี 2554-2564 ยังสูงกว่าเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย โดยไทยพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลค่อนข้างมาก การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจึงจำเป็นต้องปฏิรูปอุตสาหกรรม ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน และนำกลไกกำหนดราคาคาร์บอนมาใช้
รายงานเน้นว่า หากไทยไม่ปรับตัว ความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ GDP ลดลงร้อยละ 7–14 ภายใน 25 ปีข้างหน้า ขณะที่กรุงเทพฯและเขตชานเมืองเสี่ยงน้ำท่วมสูง ซึ่งกระทบครึ่งหนึ่งของ GDP และประชากรกลุ่มเปราะบางมากที่สุด
ไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ภายในปี 2593 เร่งขึ้นจากแผนเดิมปี 2608 การเร่งลดคาร์บอนจะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ ลดฝุ่น PM2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 15,000 คนต่อปี และเพิ่มการเติบโต GDP ร้อยละ 2.5 ภายในปี 2593 จากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนและการบริโภคภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสเติบโตใน เศรษฐกิจสีเขียว เช่น การส่งออกเครื่องปรับอากาศเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม แผงโซลาร์เซลล์ และรถยนต์ไฟฟ้า หากลงทุนรับมือโลกร้อนต่อเนื่องตลอด 25 ปีข้างหน้า จะต้องใช้เงินราว 2.19 แสนล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 2.4 ของ GDP สะสม แต่จะช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขันของเศรษฐกิจและสร้างโอกาสการลงทุนจากต่างประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
