รีเซต

บทบาทไทยในเวที COP30 ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050

บทบาทไทยในเวที COP30 ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050
TNN ช่อง16
14 พฤศจิกายน 2568 ( 11:00 )
9

การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่ของโลกในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และเป็นเวทีที่ทั่วโลกจับตา เพราะบราซิลในฐานะเจ้าภาพและประธานการประชุมครั้งนี้ ได้เสนอ 5 วาระหลัก ที่สะท้อนถึงความตั้งใจในการนำพาประชาคมโลกสู่การลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง


  1. ยกระดับ NDC 3.0 ปิดช่องว่างความทะเยอทะยานโลกร้อน

     บราซิลต้องการกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศจัดทำและปรับปรุง แผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ NDC (Nationally Determined Contribution) รุ่นที่ 3.0 เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสริมศักยภาพในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อปิด “ช่องว่างแห่งความทะเยอทะยาน” ระหว่างเป้าหมายที่ตั้งไว้กับการดำเนินการจริง

  1. จัดทำเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation: GGA)

     อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการกำหนดมาตรฐานกลางของโลกในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านกลไก GGA ที่จะเน้นการนำ แผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) ไปสู่การปฏิบัติจริง พร้อมจัดตั้งตัวชี้วัดความก้าวหน้า เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ สามารถประเมินประสิทธิภาพในการรับมือภัยจากสภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างเทียบเคียงกัน

  1. การเงินเพื่อภูมิอากาศ – New Collective Quantified Goal (NCQG)

     บราซิลผลักดันแนวทางใหม่ด้านการเงิน โดยเสนอ “Baku to Belém Roadmap to 1.3T” ซึ่งตั้งเป้าให้ประเทศพัฒนาแล้วระดมเงินทุนรวม 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2035 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการลดและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งเสนอการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้ประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียม

  1. เร่งจัดตั้งกองทุน Loss and Damage ให้ใช้งานได้จริง

     การจัดตั้ง “กองทุนเพื่อการตอบสนองต่อความสูญเสียและความเสียหาย (The Fund for Responding to Loss and Damage: FRLD)” เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม โดยบราซิลต้องการให้กองทุนนี้สามารถเปิดรับข้อเสนอจากประเทศกำลังพัฒนาได้จริง และมีแนวทางชัดเจนในการช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดจากโลกร้อน เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม หรือภัยแล้งรุนแรง

  1. ครบรอบ 10 ปี ข้อตกลงปารีส

     ปี 2025 ถือเป็นปีครบรอบ 10 ปีของ ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งจะมีการประเมินความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการจัดหาเงินทุน โดย COP30 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่ทศวรรษใหม่แห่งการลงมือปฏิบัติจริง

นอกจากนี้ บราซิลยังเน้นการผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติในหลายมิติ เช่น การฟื้นฟูและหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การเชื่อมโยงประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการป้องกันการแปรสภาพเป็นทะเลทราย


บทบาทของไทยในเวที COP30

แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง ร้อยละ 1 ของการปล่อยทั้งหมดในโลก แต่กลับเป็นประเทศที่เผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน น้ำท่วม หรือสภาพอากาศแปรปรวนที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการผลักดันนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่การแถลงนโยบายรัฐบาล ไปจนถึงการขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความยั่งยืนระยะยาว

ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะสร้าง “สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society)” โดยได้บรรจุไว้ในนโยบายหลักของรัฐบาลในข้อที่ 12 และ 13 ซึ่งครอบคลุมทั้งการติดตั้งระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงสูง และการส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว

ปัจจุบัน อุณหภูมิโลกได้เพิ่มสูงถึง 1.75°C ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส รัฐบาลไทยจึงตั้งเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 และเตรียมจัดส่ง NDC 3.0 ภายในปี 2025 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซใน 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่

  1. พลังงานและขนส่ง
  2. กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
  3. การจัดการของเสีย
  4. ภาคเกษตร
  5. การใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้

เป้าหมายคือการลดก๊าซเรือนกระจก ร้อยละ 40 ภายในปี 2035


NDC 3.0: หมุดหมายใหม่ของไทยสู่ Net Zero

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม COP30 เปิดเผยว่า ไทยจะนำเสนอแผน NDC 3.0 อย่างเป็นทางการ โดยเป็นก้าวสำคัญในการแสดงความมุ่งมั่นต่อประชาคมโลก เป้าหมายใหม่นี้จะทำให้ไทยสามารถบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 15 ปี (จากเดิมปี 2065) โดยอิงปีฐาน ค.ศ. 2019 ที่ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 379.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) และตั้งเป้าลดลง 109.2 ล้านตัน ภายในปี 2035

การลดดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ

  • ร้อยละ 70 (76.4 MtCO₂eq) ดำเนินการด้วยศักยภาพภายในประเทศ (Unconditional Target)
  • ร้อยละ 30 (32.8 MtCO₂eq) ต้องอาศัยการสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น เงินช่วยเหลือ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือเทคโนโลยีสะอาด

แผนการลงทุนภายใต้ NDC 3.0 ต้องการงบประมาณประมาณ 7,046.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 230,000 ล้านบาท สำหรับโครงการลดคาร์บอนที่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนต่างประเทศ


เพิ่มการดูดซับคาร์บอนจากป่าไม้ สร้างมูลค่าจากตลาดคาร์บอนเครดิต

ไทยยังตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ที่ดิน (LULUCF) จาก 107 MtCO₂eq เป็น 118 MtCO₂eq ภายในปี 2035 ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีการปล่อยก๊าซสุทธิลดลงเหลือเพียง 152 MtCO₂eq และเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมั่นคง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือ “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่อยู่ระหว่างการผลักดันให้ประกาศใช้ เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการแบบครบวงจร ทั้งในด้านนโยบาย การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และกลไกทางการเงิน โดยมีแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว

พร้อมกันนี้ ไทยยังตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิตในอาเซียน” เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การประชุม COP30 ที่บราซิลในครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นเวทีของการต่อรองเชิงนโยบายระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็น “บททดสอบสำคัญ” ของความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแปลงคำมั่นสัญญาให้กลายเป็นการลงมือทำจริง และประเทศไทยก็พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง